
ถ้าหากท่านได้อ่านบทความ เรื่อง "อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม" บางท่านอาจมีข้อสงสัยในเนื้อหาประวัติของท่าน จากการที่ท่านโดน "ปัพพาชนียกรรม" ซึ่งหมายถึงโดนขับห้ามเข้าเฝ้า จากเรื่อง "คดีพญาระกา" ผมจึงไปค้นเรื่อง "คดีพญาระกา" มารับใช้ท่านผู้อ่าน เพื่อจะได้ทราบความเป็นมาของคดีนี้ ยาวนิดนึงแต่ผมว่ามันก็น่าติดตามดีลองอ่านกันดูนะครับ
เช่นเดียวกับเจ้านายในสมัยนั้น กรมพระนราธิปฯทรงมีหม่อมหลายคน และในจำนวนนี้ก็มีนางละครโด่งดังในคณะละครนฤมิตร์ที่ได้เป็นหม่อมด้วย ชื่อพักตร์หม่อมพักตร์(ซึ่งคงเป็นสาวสวย) ไม่ได้เป็นสุขกับฐานะของตน จึงทิ้งตำแหน่งหม่อม หนีออกจากวังไปเมื่อปลายเดือนธ.ค. 2452 ไปอาศัยอยู่ที่บ้านฝั่งธนบุรี แต่กรมพระนราธิปฯเองก็ไม่เต็มพระทัยจะสูญเสียหม่อมพักตร์ จึงทรงติดตามไปเพื่อจะเอาตัวกลับมา เกิดเรื่องราวกับเจ้าของบ้าน เป็นเรื่องอื้อฉาวถึงขั้นพวกเขาพร้อมใจกันทำเรื่องถวายฎีกาว่ากรมพระนราธิปฯทรงบุกรุกเข้าไปถึงในบ้าน เอะอะใหญ่โตเป็นที่เดือดร้อนแก่ราษฎร เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบจากฎีกา ก็มีพระราชดำรัสห้ามกรมพระนราธิปฯไม่ให้ทำอีกแม้ว่ากรมพระนราธิปฯไม่ได้ตัวหม่อมพักตร์กลับไปอย่างพระประสงค์ แต่เธอก็อยู่บ้านนั้นต่อไปอีกไม่ได้ จำต้องออกจากบ้านฝั่งธน มาอาศัยการอารักขาของตำรวจพระนครบาลทางฟากพระนคร ซึ่งขึ้นกับเสนาบดีคือเจ้าพระยายมราช เจ้าพระยายมราชเห็นผู้หญิงคนเดียวจะเป็นชนวนให้เดือดร้อนกันไปทั้งกรม ก็เกลี้ยกล่อมให้หม่อมพักตร์กลับเข้าวังสวามีของเธอไปเสียให้หมดเรื่อง แต่เธอก็ยืนกรานไม่สมัครใจกลับท่าเดียวเจ้าพระยายมราชเห็นเป็นภาระยืดเยื้อแก่นครบาล ก็เลยไปทูลปรึกษาเจ้านายที่คิดว่ามีบารมีพอจะคุ้มครองหม่อมพักตร์ได้ คือกรมหลวงราชบุรีฯ กรมหลวงราชบุรีฯทราบเรื่องก็ทรงต้อนรับและให้การคุ้มครองด้วยดี เรื่องก็สงบไปแต่ว่ากรมพระนราธิปฯไม่พอพระทัย ยังกริ้วหนักและทรงบ่นกับใครต่อใครว่าเสนาบดีนครบาลเป็นใจให้หม่อมของท่านหนีดังนั้นแทนที่เรื่องจะจบ ก็เลยเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตวุ่นวายยิ่งกว่าเดิมขึ้นมามาถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2453 บทละครเรื่องใหม่ของนฤมิตร์ พระนิพนธ์ในกรมพระนราธิปฯ ที่จะไปแสดงถวายหน้าพระที่นั่ง มีชื่อว่า \"ปักษีปะกรนัม เรื่องพญาระกา\" เมื่อนิพนธ์เสร็จ กรมพระนราธิปฯทรงนำไปให้กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอาภากร ต้นราชสกุล อาภากร ณ อยุธยา) เพื่อขอให้ทรงแต่งทำนองขับร้องให้ กรมหลวงชุมพรฯทรงอ่านแล้วรู้สึกว่าเนื้อเรื่องพิกลๆ ก็ไม่ทรงรับทำ แต่ทรงคัดบทกลอนบางตอนไว้แล้วนำไปหารือกรมหลวงพระจักษ์ศิลปาคม (พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ต้นราชสกุลทองใหญ่ ฯ ณ อยุธยา พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4) กรมหลวงประจักษ์ฯ อ่านแล้วก็นำไปถวายให้กรมหลวงราชบุรีฯ อ่านบ้างเนื้อเรื่องของ\" พญาระกา\" อย่างย่อๆ มีอยู่ว่า พญาระกามีเมียมาก มีเมียตัวหนึ่งเป็นนางไก่ญี่ปุ่นซึ่งไม่พอใจตัวพญาระกา พอได้โอกาสก็แยกฝูงไป พบไก่ชนที่ปลายนาเกิดรักใคร่เป็นชู้กัน พอรู้ถึงพญาระกา ก็ตามไปตีไก่ชนจนแพ้และหนีไป นางไก่ญี่ปุ่นก็หนีเตลิดไปพบตาเฒ่านกกระทุงริมบึง ตาเฒ่าเอาไปเลี้ยงไว้ แต่ยายเฒ่านกกระทุงหึงหวง ประกอบกับได้ข่าวว่าพญาระกาผู้มีฤทธิ์กำลังติดตามค้นหา นกกระทุงจึงไล่นางไก่ญี่ปุ่นไปหาพญาเหยี่ยว พญาเหยี่ยวเห็นว่ารับไว้จะเกิดปัญหา จึงส่งนางไปถวายเจ้านกเค้าแมว เจ้านกเค้าแมวเกิดความปฏิพัทธ์นางไก่ญี่ปุ่น ไม่รังเกียจว่าเสียเนื้อตัวมาแล้ว เพราะนกเค้าแมวก็กินของโสโครกอยู่แล้ว จึงได้นางไก่เป็นเมียในบทตอนนี้มีกล่าวติเตียนชัดเจนว่า พญาเค้าแมวเป็นผู้หลงระเริงในราคะ จนลืมความละอายต่อบาป เอาเมียของอาเป็นเมียได้ ฝ่ายนางนกเค้าแมวมเหสีได้ข่าวก็มาหึง แต่พญาระกากลับเข้าข้างนางไก่ ไล่ตีนางนกเค้าแมวหนีกลับเข้ารังไปต่อมาพญาเค้าแมวยกทัพจะไปรบกับพญาระกา แต่เมื่อเผชิญหน้ากันยังไม่ทันรบพุ่ง ก็พอดีจวนรุ่งเช้า พญาระกาขันขึ้นมา ส่วนนกเค้าแมวตาฟางเพราะแสงอรุณเลยแพ้ เลิกทัพหนีไป
กรมหลวงราชบุรีฯ อ่านแล้ว ทรงเห็นว่า เป็นเรื่องแต่งว่ากล่าวกระทบกระเทียบเปรียบเปรยพระองค์ในกรณีหม่อมพักตร์ ก็กริ้วมาก ประกอบกับทรงได้ข่าว(ซึ่งรู้ภายหลังว่าไม่จริง)ว่าพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรบทละครแล้ว มิได้ทรงทักท้วงแต่อย่างใด ซ้ำยังกำหนดจะให้เล่นถวายในวันที่ 3 มิถุนายน เสียอีก ถ้าหากว่าเล่นขึ้นมาเมื่อไรก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต พระองค์คงจะได้รับความอัปยศอย่างมาก ทรงเห็นพระเจ้าอยู่หัวเองก็ไม่ทรงพระเมตตาพระราชโอรสเสียแล้วถึงปล่อยให้ละครเล่นเรื่องนี้ต่อหน้าราชสำนักได้อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่ากรมหลวงราชบุรีฯทรงเป็นผู้มีพระทัยเร็ว เมื่อกริ้วเรื่องนี้มาก ก็ถึงขั้นบรรทมไม่หลับทั้งคืน เช้าก็ทรงประชุมข้าราชการกระทรวงยุติธรรมมาแจ้งเรื่องให้ทราบ และ ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงเจ้าพระยายมราชเล่าเรื่องนี้พร้อมส่งบทละครไปด้วย ทรงเห็นว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นไปถึงขั้นนี้ ก็ทรงโทมนัสเกินกว่าจะอยู่ดูหน้าผู้คนได้ ขอให้เจ้าพระยายมราชจัดการตามแต่เห็นสมควร แล้วก็เสด็จลงเรือไปแต่ลำพัง ไปอยู่ที่ศาลเจ้าองครักษ์ที่ปลายคลองรังสิตก่อนหน้าเกิดเรื่องนี้ ราววันที่ ๒๐ เมษายน กรมหลวงราชบุรีฯเคยทำหนังสือทูลเกล้าฯถวายขอลาออกจากตำแหน่งเสนาบดี ทรงแถลงเหตุผลว่า ประชวร มีอาการปวดพระเศียรเป็นกำลัง ในสมองร้อนเผ็ดเหมือนหนึ่งโรยพริกไทยระหว่างมันสมองกับกระดูก คิดและจำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ทำงานแม้แต่นิดหน่อยก็เหนื่อย หมอไรเตอร์ตรวจพระอาการแล้วว่าจำต้องหยุดงานพักรักษาพระองค์ จึงกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีพระเจ้าอยู่หัวทรงเก็บลายพระหัตถ์ฉบับนี้ไว้เฉยๆไม่มีพระบรมราชโองการลงมา และไม่เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ จนเกิดเรื่อง\" พญาระกา\" ขึ้นวันรุ่งขึ้นหลังจากกรมหลวงราชบุรีฯเสด็จออกจากพระนครไปโดยมิได้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงยุติธรรมรวม ๒๘ คนก็ประชุมกัน แล้วลงชื่อถวายฎีกาขอลาออกจากราชการตามกรมหลวงราชบุรีฯ ซึ่งถ้าหากว่าออกไปจริงๆ กระทรวงและศาลยุติธรรมก็จะดำเนินการต่อไปไม่ได้ เพราะขาดข้าราชการสำคัญถึง ๒๘ คน เรียกว่ายกกระทรวงออกไปก็ว่าได้ ในฎีกานี้ ผู้ลงชื่อเป็นอันดับต้นคือพระยาจักรปาณีฯ ปลัดทูลฉลอง และอีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้คือขุนหลวงพระยาไกรสี(เทียม บุนนาค) อธิบดีศาลต่างประเทศเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนั้นก็ว่าได้ ประจวบเหมาะกับบ้านเมืองมีเรื่องใหญ่อยู่แล้ว ให้พระเจ้าอยู่หัวทรงพะวงอยู่ถึง ๒ เรื่อง เรื่องแรกคือท่ายดยุคโยฮันน์ อัลเบร็คต์ แห่งเม็คเคล็นเบอร์ก เชวริน กำลังจะเสด็จเยือนสยาม ทางไทยไม่ต้องการให้มีเหตุขลุกขลักอะไรในบ้านเมืองเมื่อแขกเมืองมาถึง เรื่องที่สองคือคนจีนในพระนครพร้อมใจกันประท้วงหยุดงานตั้งแต่ ๑ มิถุนายน รัฐบาลกำลังเฝ้าระวังเต็มที่ไม่ให้เกิดเหตุร้ายแทรกแซง ก็ไม่มีใครนึกว่าจะเกิดเหตุที่สาม คือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงยุติธรรม ลุกขึ้น\"สไตร๊ค์\" ราวกับจะแข่งกับคนจีนเสียเอง แล้วสาเหตุเรียกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับระบบงานในกระทรวงพอฎีกาทูลลาออกของข้าราชการ ๒๘ คนหลุดจากมือไปถึงทางการ ก็วุ่นวายกันไปทั้งกระทรวงและพระบรมมหาราชวัง คนกลางในเรื่องนี้คือเจ้าพระยายมราชได้พยายามห้ามปรามไกล่เกลี่ยเท่าไร ข้าราชการทั้ง ๒๘ (ซึ่งว่ากันว่าขุนหลวงพระยาไกรสีเป็นแกนนำ)ก็ยืนกรานจะทำจนได้ดังนั้นเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบเรื่องฎีกา ก็ทั้งพิโรธและโทมนัสอย่างมาก ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์รวมทั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ(คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)เข้าเฝ้าด่วนเพื่อสอบสาวราวเรื่อง เพื่อจะนำไปสู่การพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิด ส่วนข้าราชการทั้ง ๒๘ คนนั้น พระเจ้าอยู่หัวพิโรธมาก ถึงกับทรงเรียกว่า\'๒๘ มงกุฎ\' และให้เขียนชื่อปิดไว้ที่ปลายพระแท่นบรรทมเพื่อทรงสาปแช่ง จดหมายเหตุรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจดพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนนี้ไว้ว่า\'ไม่มีแบบแผนอะไรเลยที่จะทำเช่นนี้ ทั้งในเมืองไทยเมืองฝรั่ง จะหาอะไรที่จะแก้แทนคนพวกนี้ไม่ได้จนนิดเดียว เปนอย่างอัปรีย์ที่สุดที่แล้ว หาอะไรเปรียบไม่ได้ เอาการส่วนตัวมายกขึ้นเปนเหตุที่จะงดไม่ทำการตามน่าที่ราชการ นับว่าปราศจากความคิด ปราศจากความกตัญญูต่อพระเจ้าแผ่นดิน และต่อแผ่นดิน ถือนายมากกว่าเจ้า\'
พระยาจักรปาณีฯ นับว่าโชคดีมากที่มีกัลยาณมิตรแท้จริง คือกรมขุนศิริธัชสังกาศ ทรงยื่นมือเข้ามาช่วยในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่มีใครอื่นช่วยเหลือได้พอทราบเรื่อง กรมขุนศิริธัชฯก็เสด็จมาที่บ้านพระยาจักรปาณีฯทันทีกลางดึก ปลุกเจ้าของบ้านขึ้น บังคับให้เขียนหนังสือสารภาพผิด ขอพระราชทานอภัยโทษ และขอถอนหนังสือกราบถวายบังคมลาออก กรมขุนศิริธัชนำหนังสือของพระยาจักรปาณีฯ ทูลเกล้าฯถวายพระเจ้าอยู่หัวทันที ไม่ให้รอช้าข้ามวันท่านผู้หญิงดุษฎี มาลากุล ธิดาของเจ้าพระยามหิธร เล่าว่าสามีของท่านคือม.ล.ปิ่น มาลากุล ได้พบหลักฐานที่เก็บไว้ในหอจดหมายเหตุ แล้วนำมาให้ท่าน ท่านบันทึกไว้เกี่ยวกับหนังสือกราบถวายบังคมลาออกจากราชการว่า\" คุณพ่อเขียนหนังสือดี ไม่มีการหมิ่นพระบรมราชานุภาพแม้แต่น้อย คุณพ่อเขียนว่าการที่รับราชการอยู่ทุกวันนี้ได้ ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้า แต่ในทางวิชาการนั้นต้องพึ่งพระปัญญาของกรมหลวงราชบุรีฯ เมื่อกรมหลวงราชบุรีฯทูลลาออก คุณพ่อก็หมดปัญญาที่จะฉลองพระเดชพระคุณต่อไป ส่วนหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษนั้น คุณพ่อเขียนว่า ได้กระทำไปเพราะความโง่เขลาเบาปัญญา และถ้าแม้บังอาจกระทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เช่นนี้อีกแล้ว ก็ขอพระราชทานถวายชีวิต\"กรมขุนศิริธัชสังกาศได้นำหนังสือของพระยาจักรปาณีฯเข้าไปทูลเกล้าฯถวาย พระเจ้าอยู่หัวก็ค่อยคลายพระพิโรธลง ข้าราชการอื่นๆอีก ๒๖ คนก็ได้ทำตามคือทำหนังสือขอพระราชทาน อภัยโทษหมดทุกคน เว้นแต่คนเดียวคือขุนหลวงพระยาไกรสี ซึ่งมีหนังสือกราบบังคมทูลด้วยโวหารว่าตนมิได้เป็นผู้ผิดบันทึกส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานเจ้าพระยารามราฆพ ทรงกล่าวถึงขุนหลวงพระยาไกรสีไว้ว่า\" หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์(กฤดากร) เล่าต่อไปว่า ขุนหลวงพระยาไกรสีนั้นไม่เรียบร้อยเช่นคนอื่นๆ แสดงตนกระด้างกระเดื่อง และว่าได้มีหนังสือทูลเกล้าฯแก้ตัวไปโดยโวหารหมอความ ทำให้พระเจ้าอยู่หัวกริ้วมาก จะลงพระราชอาญาให้เป็นตัวอย่าง\"เรื่อง ๒๘ มงกุฎที่ว่านี้ ปรากฏว่าคนต้นคิดไม่ใช่พระยาจักรปาณีฯ แต่เป็นขุนหลวงพระไกรสี ท่านจึงถูกถอดจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลคดีต่างประเทศ และเคราะห์ร้ายซ้ำสอง ถูกถอดจากบรรดาศักดิ์ เพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆได้กลับเข้ารับราชการทั้งหมด แต่ก็แน่ละว่าอนาคตทางราชการไม่มั่นคงเท่าเดิมเจ้านายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพญาระกา ต่างก็ได้รับผลกระทบคนละอย่าง กรมหลวงราชบุรีฯกลับเข้ามากราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ และได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่โปรดเกล้าฯให้ทรงพ้นตำแหน่งเสนาบดีไปตามที่เคยกราบถวายบังคมลามาก่อน หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากรขึ้นเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมแทน ส่วนกรมพระนราธิปฯ ทรงถูกลงโทษอย่างเจ้านาย เรียกว่าติดสนมคือต้องเข้ามาประทับในพระบรมมหาราชวังออกไปไหนไม่ได้มีกำหนด ๑ ปี มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล แต่ว่าหม่อมและพระโอรสธิดาเจ้าไปเยี่ยมได้เป็นเวลาตามสมควรเจ้านายพระองค์ที่สามคือกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งมีส่วนให้กรมหลวงราชบุรีฯเข้าพระทัยผิด ถูกห้ามเข้าเฝ้าจนสิ้นรัชกาล แต่กรมพระนราธิปฯนั้นติดสนมอยู่ไม่นาน แค่ถึงเดือนกรกฎาคม กรมหลวงราชบุรีก็ทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษให้ ท่านก็เลยได้พ้นโทษ กลับไปวังของท่านเวลาล่วงมาถึงเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต
คำพิพากษาศาลรับสั่งพิเศษ
กระทรวงวัง
ณ วันพุธที่ 1 มิถุนายน ร.ศ.129 (พ.ศ.2453) เวลาค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน มีรับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ เสนาบดีกระทรวงวัง 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทววงษ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ 1 เข้าไปเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทพร้อมกันแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่าพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมให้เจ้าพระยายมราชนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ในวันที่ 1 มิถุนายนนั้นว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้แต่งบทละครเรื่องหนึ่ง เรียกชื่อว่า ปักษีปกรณัม ว่ากล่าวเปรียบเทียบหมิ่นประมาทให้เสียพระนามและพระเกียรติยศ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ และเจ้าพยายมราชนำบทละครซึ่งเป็นเหตุแห่งคดีอันนี้ทูลเกล้าฯ ถวายด้วย ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า คดีเรื่องนี้จะต้องพิจารณาให้ได้ความจริง และจะต้องวินิจฉัยให้เห็นผิดชอบเด็ดขาด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้ากรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ 1 กรมหลวงเทววงษ์วโรปการ 1 กรมหลวงดำรงราชานุภาพ 1 พร้อมกันเป็นผู้พิพากษาศาลรับสั่ง เรียกกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มาสอบถามและพิจารณาเอาความจริงขึ้นกราบบังคมทูลพร้อมด้วยเนื้อเห็นของข้าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 ในความผิดชอบแห่งคดีเรื่องนี้
ข้าพระพุทธเจ้าได้มีหมายเรียกกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ให้มาแก้คดี และให้ทำบรรดาหนังสือปักษีกรณัมเรื่องที่เกิดคดีอันนี้ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มีอยู่มาส่ง ณ ที่ว่าการกระทรวงวัง ณ วันที่ 2 มิถุนายน
ครั้น ณ วันที่ 2 มิถุนายน เวลาบ่าย 4 โมง ข้าพระพุทธเจ้าได้ประชุมพร้อมกัน ณ ที่ว่าการกระทรวงวังที่พระราชวังสวนดุสิต กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ได้นำต้นร่างบทละครเรื่องปักษีปกรณัม 2 ฉบับ กับสมุดพิมพ์บทละครเรื่องนี้ 499 ฉบับมาส่ง ว่าได้สัญญาแก่ช่างพิมพ์ให้พิมพ์ 500 ฉบับ อีกหนึ่งได้ทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม เหลืออยู่ 499 ฉบับ ไม่ได้จำหน่ายให้ปันแก่ผู้ใด ได้นำมาส่งตามหมายโดยสิ้นเชิง ถ้าแลผู้ใดจะมีหนังสือนี้อยู่ ก็คงจะได้ไปจากผู้พิมพ์ โดยกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ไม่ได้ทราบ และมิได้อนุญาต
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไต่ถามกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ถึงเรื่องหนังสืปักษีกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์รับว่าได้แต่งเอาจริง ได้ดูตามเค้าเรื่องละครฝรั่งเศสเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ชองติแคล” ซึ่งได้อ่านเนื้อเรื่องหนังสือพิมพ์อังกฤษเรียกว่า อิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์ แต่เรื่องปักษีปกรณัม ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้เอาแต่เค้าเรื่องละครของฝรั่งเศสไม่ได้แต่งตรงตามเรื่องละครของฝรั่งเศษ เพราะเห็นว่าควรจะต้องแก้ไขให้คนดูในเมืองนี้เป็นที่ชอบใจเป็นสำคัญของการเล่นละคร แต่เรื่องปักษรปกรณัมที่แต่งนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จะได้ตั้งพระไทยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครที่หลบหนีมาเป็นท้องเรื่อง ดังที่กรมหม่อมราชบุรีดำฤทธิ์หาว่าเป็นการหมิ่นประมาทนั้นหามิได้
เมื่อได้ความปฏิเสธของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า คดีเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเรียกบุคคลผู้ใดมาเป็นพยาน เพราะหนังสือที่เกี่ยวแก่คดี เรื่องนี้มีอยู่ทุกอย่าง จึงพร้อมกัน ตรวจหนังสืออันเกี่ยวข้องเป็นหลักฐานควรพิจารณาในคดีเรื่องนี้ ได้ความดังจะกราบทูลต่อไปนี้ คือ
1. ในหนังสือพิมพ์อิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์ ออกเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ (พ.ศ.2452) ส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ประมาณว่า ราววันที่ 12 มีนาคม ร.ศ.128 มีข้อความบอกเนื้อเรื่องละคร ชองติแคลโดยย่ออยู่ในหน้า 235 ว่า ละครเรื่องนี้ตามบทของฝรั่งเศสแบ่งเป็น 4 ตอนๆ ที่ 1 กล่าวว่าไก่ผู้ตัวหนึ่งชื่อชองติแคลเป็นใหญ่อยู่ในฝูงไก่ และสัตว์เลี้ยงที่สวนโรงนาแห่งหนึ่ง ชองติแคลเชื่อว่าตัวมีฤทธิและเกิดมาสำหรับขันเรียกให้พระอาทิตย์ขึ้น อยู่มาวันหนึ่งชองติแคลกำลังอยู่ในฝูงบริวารของตน มีนางไก่ฟ้าตัวหนึ่งถูกสุนัขไล่ หนีเข้ามาอาศัยในฝูงบริวารของชองติแคล ๆ มีใจรักใคร่ประดิพัทธ์ต่อนางไก้ฟ้านั้น ตอนที่สองเล่นเป็นเวลากลางคืนมีพวกสัตว์ซึ่งหากินในเวลากลางคืนคือนกเค้าแมวเป็นต้นประชุมกัน สัตว์พวกนี้เชื่อว่าชองติแคลเป็นผู้ทำให้เกิดแสงสว่างเป็นกลางวัน อันเสียประโยชน์การหาเลี้ยงชีพของตน จึงคบคิดกันจะฆ่าชองติแคล โดยคิดอ่านให้ไก่ชนตัวหนึ่งไปตีชองติแคลเสียให้ตาย ในขณะเมื่อประชุมกันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงชองติแคล แสงอรุณและดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมา พวกสัตว์กลางคืนต่างก็ต้องแยกไปและชองติแคลกับนางไก่ฟ้าก็ออกมา ตอนที่ 3 ไก่ต๊อกตัวหนึ่งมีการประชุมนอตโฮมในสวนโรงนา ในเวลาประชุมนั้น ชองติแคลกับไก่ชนเกิดตีกันขึ้น ชองติแคลเกือบจะตาย แต่บังเอิญลงปลายชนะไก่ชน ในขณะนั้นมีเงาเหยี่ยวบินร่อนมา พวกไก่ทั้งหลายพากันกลัว เหยี่ยววิ่งเข้าอาศัยอยู่ในซุ่มปีกชองติแคลๆ ขันท้าเหยี่ยวหากกลัวไม่ ถึงตอนที่ 4 เป็นเวลากลางคืนชองติแคลพานางไก่ฟ้าออกไปเที่ยวอยู่ในป่า นางไก่ฟ้ามีความริศยาว่าชองติแคลไปหลงในธุระที่จะเรียกแสงสว่าง จึงทำกลอุบายให้ชองติแคลนอนหลับอยู่จนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจึงบอกชองติแคลให้เห็นว่าไปหลงเชื่อว่าตัวมีฤทธิ์เรียกพระอาทิตย์ได้นั้นเปล่าๆ ชองติแคลโกรธจึงทิ้งนางไก่ฟ้าเสีย กลับไปอยู่ที่สวนโรงนาตามเดิม ส่วนนางไก่ฟ้าถูกทิ้งไม่ช้าก็ติดแร้วของนายพราน ถูกจับไปปล่อยไว้ในโรงนา จึงละพยศยอมอยู่ในความปกครองของชองติแคลต่อไป เนื้อเรื่องละครชองติแคลที่ปรากฏในหนังสืออิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์เป็นดังนี้
เรื่องภักตร์หม่อมละครของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่หนีไปนั้น ได้ความตามหนังสือกระทรวงนครบาลกราบบังคมทูล เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ร.ศ.128 ฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ 1 มีใจความว่า ภักตร์ได้อยู่ในวังกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มาตั้งแต่อายุ 13 ปี ได้ฝึกหัดเป็นละคร โตขึ้นได้เป็นหม่อมกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์และได้เล่นละครนฤมิตร อยู่มาจนเดือนพฤศจิกายน ร.ศ.128 เหตุเกิดขึ้นด้วยเรื่องว่ากรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ตบตี ภักตร์มีความโกรธ จึงหนีจากวังกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ร.ศ.128 กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เที่ยวติดตามภักตร์ จนมีพวกเจ้าของบ้าน 18 ราย มีอำแดงพุดมารดาของภักตร์เป็นต้นไป ร้องต่อกระทรวงนครบาลว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์คุมข้าไทยเที่ยวค้นบ้านเรือนของคนเหล่านั้นได้ความเดือดร้อน กระทรวงนครบาลได้บอกคนที่มาร้องทุกข์ให้ไปฟ้องร้องว่ากล่าวยังโรงศาลตามกระบิลเมือง ต่อมาปรากฏว่าภักตร์อาศัยอยู่ฟากข้างโน้น มีผู้บรรดาศักดิ์ได้รับธุระป้องกันภักตร์ คือ เจ้าพระยาภาสกรวงษ์แลเท่านผู้หญิงเปลี่ยน เป็นต้น ครั้นถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน ร.ศ.128 เวลาบ่าย อำแดงพุดพาภักตร์ไปที่โรงพักพลตระเวนวัดบุบผาราม ร้องขออารักขาเพื่อป้องกันอย่างให้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จับกุมไปได้ ภักตร์จะขออยู่โรงพักพลตระเวนจนกว่าจะฟ้องร้องเสร็จคดีกับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่โงศาลกองตระเวน จึงมาแจ้งความต่อเจ้าพระยายมราชๆ ได้สั่งให้กองตะเวนให้ความอารักขาแก่ภักตร์จนกว่าจะได้มีคำสั่งต่อไปประการใด
ครั้น ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน ร.ศ.128 กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เสด็จไปหาเจ้าพระยายมราชที่กระทรวงนครบาล ขออนุญาตที่จะไปพบกับภักตร์ที่โรงพักพลตระเวน เจ้าพระยายมราชได้ทูลว่า ภักตร์นั้นเจ้าพระยายมราชได้สั่งให้ระวังรักษาอย่างหม่อมของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แลตั้งใจเป็นกลางจริงๆ และข้อที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จะขอเสด็จไปพบภักตร์นั้น เจ้าพระยายมราชจะอนุญาตไม่ได้ ที่เจ้าพระยายมราชไม่อนุญาตเช่นนี้ ตามจดหมายที่กราบบังคมทูลชี้แจง เจ้าพระยายมราชเห็นว่าในวันนั้นโทษะกำลังมีด้วยกันทั้งฝ่ายกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์และฝ่ายภักตร์ ถ้าให้ไปพบกันไม่ประนีประนอมกันได้ไปเกิดเหตุวิวาทกันขึ้นในโรงพักพลตระเวนก็จะเป็นที่เสื่อมเสีย จะให้ผู้คนครหานินทาเกรียวกราวมากขึ้น ด้วยเรื่องนี้เจ้าพระยายมราชทราบอยู่ว่ามีผู้ถือท้ายพายหัวข้างภักตร์อยู่มาก ความคิดของเจ้าพระยายมราชคิดจะเกลี้ยกล่อมชวนภักตร์ให้ไปอาศัยอยู่ในบ้านพระพุทธเจ้ากรมหลวงเดชานุภาพหรือวังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ให้พ้นจากโรงพักลาดตระเวนและให้ห่างจากพวกที่ถือท้ายพายหัว จะให้พ้นเป็นความกันเสียชั้นหนึ่งแล้วจะได้ว่ากล่าวเกลี่ยไกล่ให้ทั้งสองฝ่ายตกลงโดยเรียบร้อย เจ้าพระยายมราชได้ทูลความทั้งนี้แก่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ให้ทรงทราบแล้วได้มาหารือข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงดำรงเดชานุภาพและกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ถึงเรื่องที่จะฝากภักตร์ไว้ ก็ยอมรับโดยไม่รังเกียจ แต่ข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงเดชานุภาพเห็นว่า ถ้าไปอยู่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์จะดี เพราะกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
ครั้นวันที่ 1 ธันวาคม ร.ศ.128 เจ้าพระยายมราชได้ข้ามฝากไปที่โรงพักพลตระเวนบุบผารามเองได้และเรียกภักตร์มาพูดต่อหน้ามารดาและป้าของภักตร์ แนะนำให้กลับไปอยู่คืนดีกับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ โทษทัณฑ์ประการใด เจ้าพระยายมราชรับจะทูลขอมิให้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ทำโทษ ภักตร์ไม่ยอมไปจะขอฟ้องร้องกล่าวให้เด็ดขาด เจ้าพยายมราชจึงว่าที่ภักตร์จะอยู่โรงพักพลตระเวน จะอยู่ได้เพียง 7 วัน 15 วันเป็นอย่างมาก จะรับเอาไว้นานกว่านั้นไม่ได้ ถ้าภักตร์ไม่กลับไปอยู่กับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เจ้าพระยายมราชแนะนำให้เลือกไปอยู่อาศัยในที่สองแห่ง คือ บ้านข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงดำรงราชานุภาพแห่งหนึ่ง หรือวังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์แห่งหนึ่ง ข้างภักตร์และมารดาสมัครไปอยู่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เจ้าพระยายมราชจึงพาตัวไปฝากไว้ที่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ต่อนี้มาไม่ปรากฏว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ติดตามว่ากล่าวแต่ประการใด ภักตร์อยู่ที่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์จนราวเดือน มีนาคม ร.ศ.128 แล้วก็ลาไป จะไปอยู่ที่ใดต่อไปก็หาปรากฏไม่ ความปรากฏในเรื่องของภักตร์ดังนี้
บทละครเรื่องปักษีนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งลงพิมพ์ที่ที่โรงพิมพ์ศุภการจำรูญในศก 129 แต่งเป็น 4 ตอน ตอนที่ 1 เรียกว่า ตอนพิศมาตุคาม ตอนที่ 2 เรียกว่า ตอนสงครามนกเค้าแมว ตอนที่ 3 เรียกว่า แกล้วเกินหน้า ตอนที่ 4 เรียกว่า ตอนพิพากษาสมสมัค
ตอนพิศมาตุคามนั้น ใจความว่า มีไก่ใหญ่ตัวหนึ่งชื่อพญาระกาเป็นไก่กล้ามีบริวารอยู่มากในท้องนา เชื่ออำนาจว่าอาจจะเรียกดวงอาทิตย์ให้ขึ้นตามประสงค์ได้ พระยาระกาพาบริวารหากินอยู่ในท้องนา นางไก่ยี่ปุ่นซึ่งเป็นภรรยาพญาระกาตัวหนึ่ง ไม่ได้ความถึงใจจากพญาระกา จึงหลีกฝูงไปเที่ยวหาไก่หนุ่มๆ ไปพบไก่ชนตัวหนึ่งได้ร่วมสมัครสังวาศกับไก่ชนตัวนั้น มีนกเอี้ยงตัวหนึ่งแลเห็นจึงบอกพญาระกาๆ โมโหออกไล่ ไก่ชนและนางไก่ยี่ปุ่นจึงหนีไป นางไก้ยี่ปุ่นหนีไปถึงบึงน้ำขังพบนกกะทุงแก่ตัวหนึ่ง ไปอาศัยอยู่กับนกกะทุง ยายเมียนกกะทุงหึง นกกะทุงเล่าเรื่องราวให้ฟังแล้วจึงรับเอาไว้ ได้มีห่านตัวหนึ่งได้ข่าวว่าพญาระกาโกรธเตรียมทหารจะมาทำร้ายนกกะทุง จึงไปบอกนกกะทุง นกกะทุงจึงพานางไก่ญี่ปุ่นไปฝากไว้ยังรังของพวกเหยี่ยว พญาเหยี่ยวรับป้องกันสรรพไภยให้พ้นพญาระกา และจะไปรักษาสุจริตยุติธรรม แต่กลับพานางไก่ยี่ปุ่นไปฝากพญานกเค้าแมวๆ มีความรักใคร่กระทำชู้แก่นางไก่ญี่ปุ่น จนภรรยานกเค้าแมวหึง ฝ่ายพญาระกาได้ทราบเรื่องนางไก่ญี่ปุ่นไปอยู่กับพญานกเค้าแมว ได้แต่คลุ้มคลั่ง ครั้นจะทำร้านนกกะทุนแล่ห่าน ก็หวาดเสียงและละอายลงปลายต้องเดินเซื่องๆ กลับไปรัง
ตอนสงครามนกเค้าแมว กล่าวถึงไก่ชนเมื่อหนีมาพ้นพญาระกาจึงคิดจะยุยงให้นกพวกหากินกลางคืนกับพวกกบเขียดเข้ากันไปรบพญาระกา จึงไปยุพญานกเค้าแมว ตกลงให้เกลี้ยกล่อมพวกค้างคาวเข้าด้วยอีกพวกหนึ่ง เอาพวกค้างคาวเป็นทัพฟ้า พวกเขียดเป็นทัพเรือ ตอนนี้กล่าวถึงนกยาง ซึ่งอุบายทำตัวเป็นฤาษีรักษาศีล ลอบกินกบเขียดที่เลื่อยล้า จนพวกกบเขียดรู้ เค้าแมว พญาค้างคาว พวกกบเขียดพร้อมกันแล้ว จึงให้ไก่ชนทางยกไป เพื่อจะรบพญาระกา พวกหนูรู้ข่าวรีบไปบอกพญาระกาให้รู้ว่าเขายกมารบ พญาระกาจึงเรียกนกยาง พวกกา พวกนกพร้อมกันมารบพวกนกเค้าแมว พญาระกาขันเรียกพระอาทิตย์แสงอรุณขึ้น พวกนกเค้าแมวก็พากันตามืดหลบหนีไป พวกนกยางกับไก่กาแมวก็ไล่ทำอัตราแก่พวกนกเค้าแมวล้มตายแตกพ่ายไป
ตอนแกล้วเกินหน้า ใจความว่า มีนางเป็ดตัวหนึ่งรักพญาระกาไป ล่อพระยาระกาจนติด พวกนางไก่พากันหึงเกิดวิวาทขึ้นกับนางเป็ด ขณะนั้นมีสุนัขชื่อพญาจอเข้ามาไล่กัดฝูงไก่ตายหลายตัว พญาระกาเสียใจ นางเป็ดเลยยุส่งว่า ทั้งนั้นทั้งนี้ เพราะพวกนางไก่มาก่อการวิวาทขึ้น พญาระกาเชื่อนางเป็ดจึงตีไล่พวกไก่หนีไป นางเป็ดปลอบพญาระกาอย่างเสียใจ จะเป็นแม่สื่อให้ชักนำไก่ฟ้ามาให้ ครั้นไปพบนางไก่ฟ้าในเวลากลางคืน เกี้ยวพานางไก่ฟ้าก็รัก นางไก้ฟ้าว่าพญาจอบิดาไก่ฟ้าได้บอกไว้ว่า พญาระกามีฤทธิ์ขันเรียกพระอาทิตย์ให้ขึ้นได้ ขอเห็นฤทธิ์ก่อน พญาระกาก็ฮึกเหิมขันเรียกพระอาทิตย์จนเหนื่อย พระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้น นางไก่ฟ้าเห็นไม่จริงก็หนี ไปได้นกยูงเป็นสามี พญาระกาได้เห็นนางไก่ฟ้าได้นกยูงเป็นสามีก็เสียใจ นางเป็ดรับอาสาจะหาให้ใหม่ ไปหานางไก่งวง นางไก่ต๊อก มาให้ก็ไม่ชอบใจ จึงกลับมายังฝูงไก่อย่างเดิม มาเห็นไก่ชนเป็นเจ้าของฝูง แลไก่ชนได้แบ่งนางไก่ให้แก่ไก่หนุ่มๆ ฝูงไก่เหล่านั้นไม่ยอมให้พญาระกาเป็นใหญ่ต่อไป พญาระกาเสียใจจึงไปหาพญาแร้ง ด้วยเห็นว่าพญาแร้งทรงศีลธรรมไม่กินสัตว์เป็น
ตอนพิพากษาสมสมัคว่า พญาระกาไปเล่าความทุกข์ร้อนทั้งปวงถวายพญาแร้งๆ จึงให้กากับนกปูดไปเรียกฝูงไก่กับค้างคาว นกเคาแมว หนู นกยาง มาประชุม พญาแร้งสำแดงธรรมพิจารณาพิพากษาตามสัตย์สุจริตไม่ลำเอียง โจทก์จำเลยทุกฝ่ายต่างยินยอมตามคำพญาแร้งจบความเรื่องปักษีปรกณัมเท่านี้
ข้อวินิจฉัยข้อต้นว่า ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ แต่งเรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคามนั้น ได้ตั้งพระทัยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครมาแต่งเป็นโครงความหรือไม่ ข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ตั้งพระทัยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครมาแต่งเป็นโครงความตอนนี้ โดยเหตุผลหลายอย่าง คือ
ข้อ 1 เรื่องชองติแคลนี้ มีขึ้นทีหลังเหตุเรื่องภักตร์หนี เพราะฉะนั้นเรื่องปักษีปกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ต้องแต่งทีหลังเมื่อเกิดเหตุเรื่องภักตร์หนีแล้ว จะเป็นเรื่องที่แต่งไว้แต่เดิม แต่บังเอิญความไปต้องกันเข้ากับเรื่องภักตร์หนีนั้นไม่ได้
ข้อ 2 แม้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ว่า เอาเรื่องชองติแคลเป็นแบบแต่งเรื่องปักษีปกรณัมนี้ เนื้อเรื่อชองติแคลกับเรื่องปักษีปกรณัมเหมือนกันแต่เพียงตัวละครแต่งเป็นสัตว์เดียรฉานกับมีสัตว์เดียรฉานอย่างเดียวกันทั้ง 2 เรื่องอยู่บ้าง นอกจากนี้ความ 2 เรื่องผิดกันมาก กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ก็ได้รับเองว่าได้แก้ไข ไม่ได้เอาเรื่องชองติแคลแท้
ข้อ 3 เมื่อเอาโคลงความเรื่องภักตร์หม่อมละครเป็นเรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคามเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าโคลงความตรงกันทั้ง 2 เรื่อง ข้อนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ชี้แจงว่าการแต่งบทละครหรือหนังสือเรื่องใดๆ ยากที่จะป้องกันความเข้าใจแลถือใจของบุคคลได้ทั่วไป ไม่ว่าเรื่องที่แต่งมาแต่โบราณหรือเรื่องแต่งใหม่ อาจจะมีผู้เห็นว่าใส่ร้ายตนได้ตามความเข้าใจของคนนั้นๆ และเรื่องปักษีปกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้ ก็มีที่ผิดเพี้ยน อันอาจจะแลเห็นได้ว่าไม่ตรงกับเรื่องที่ภักตร์หนีอยู่หลายแห่ง ยกตัวอย่างดังที่ว่าพญานกเค้าแมว มีนางละครระบำในตอนสงครามนกเค้าแมวนั้น กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ก็ไม่มีละเม็งละครแลนางระบำอะไร และไม่ได้ประชุมกับผู้ใด ซึ่งจะตรงกับพวกกบ เขียด ค้างคาว จะว่าแต่งเรื่องนี้เปรียบเทียบกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์อย่างไร การที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์คัดค้านดังนี้ ก็เพื่อประโยชน์ในการแก้คดีของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ แต่ความจริงข้อที่จะเป็นว่าผู้ใดหรือไม่นั้นในหน้าที่ของตุลาการที่จะพิจารณาจะพิเคราะห์ลงเนื้อเห็นต่างหาก ผู้ที่รู้สึกว่าหมิ่นประมาท หามีอำนาจที่จะชี้ขาดโดยลำพังตนไม่ อีกประการหนึ่งที่จะแก้ว่าในหนังสือเรื่องเดียวกัน ถ้าในตอนหนึ่งเรื่องไม่ได้เทียบเรื่องด้วยภักตร์หนีแล้ว ตอนอื่นก็ไม่ได้เทียบด้วยฉะนี้ ไม่เป็นข้อความที่ควรจะฟังได้ แท้จริงในเรื่องที่ภักตร์หม่อมละครหนีนั้นความเคืองแค้นของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่ไม่สามารถจะเอาตัวภักตร์กลับคืนมาไว้ในอำนาจได้ดังพยายาม ก็พอจะแลเห็นกรณีเหตุเจตนาในการแต่งละครตอนพิศมาตุคามอยู่ชั้นหนึ่ง ความในบทละครพิศมาตุคามนั้น แม้ผู้ใดอ่าน ถ้าเป็นผู้ที่รู้เรื่องภักตร์หนี โดยเฉพาะผู้ที่เข้าใจศัพท์ซึ่งใช้แลซึ่งเข้าใจกันอยู่ในมณฑลที่สูงแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่าจะเข้าใจไปอย่างอื่น นอกจากเข้าใจว่าเอาเรื่องภักตร์หนีมาเป็นโคลงไม่ได้เลยทีเดียว
ข้อวินิจฉัยข้อ 2 ว่า หนังสือเรื่องปักษีปรกณัมซึ่งกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้ชื่อมีแต่ชื่อสัตว์เดียรฉานไม่มีชื่อบุคคลจะหมิ่นประมาทบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้หรือไม่ ข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า การที่จะออกชื่อผู้ใดหรือไม่ออกชื่อผู้ใดนั้นไม่สำคัญในความเสียหาย ข้อสำคัญอยู่ในว่า ถ้าความที่กล่าวนั้นเป็นความหมิ่นประมาท และผู้ที่ทราบความนั้น ทราบได้ว่าหมิ่นประมาท ผู้นั้นๆ ก็เป็นการหมิ่นประมาทเหมือนกันออกชื่อเหมือนกัน
ข้อวินิจฉัยข้อ 3 ว่า ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เอาเรื่องภักตร์หนีมาแต่งเป็นเรื่องละครตอนพิศมาตุคามอย่างนี้ เป็นการหมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์หรือไม่
ลักษณะหมิ่นประมาทตามความในประมวลกฎหมายอาญา ส่วนที่ 8 หมวดที่ 3 มาตรา 282 ว่า ผู้ใดใส่ความเอาผู้อื่นซึ่งอาจจะให้เขาเสียชื่อเสียง หรืออาจจะให้คนทั้งหลายดูหมิ่นหรือเกลียดชังเขา ถ้ามันกล่าวต่อหน้าคนแต่ 2 คนไปก็ดี หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่ 2 คนขึ้นไปก็ดี ท่านว่ามันมีความผิดฐานหมิ่นประมาทเขา มันต้องระวางโทษานุโทษเป็น 3 สถาน คือ สถานหนึ่งให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินพันบาท หรือสถานหนึ่งทั้งจำทั้งปรับด้วย โดยกำหนดทีว่ามาแล้ว ถ้าแลมันใส่ความเขาด้วยมันโฆษณาในสมุดหรือหรือหนังสื่อที่มีคราวกำหนดโฆษณาหรือในหนังสือพิมพ์บอกข่าวหรือโฆษณาในแบบอย่าง และในจดหมายอย่างใดๆ โทษของมันผู้กระทำผิดหนักขึ้นทั้งสามสถาน คือ สถานหนึ่งให้จำคุกไม่เกินปีหนึ่ง หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือสถานหนึ่งทั้งจำคุกและปรับด้วย โดยกำหนดที่ว่ามานี้ ดังนี้
เรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคาม เป็นความว่าเปรียบอันเห็นได้ชัดดุจบุคคลเอาวัตถุอันใดซ่อนไว้ในถุงผ้าโปร่งว่าง นางไก่ยี่ปุ่นนั้นหมายถึงตัวภักตร์หม่อมละคร พญาเหยี่ยวหมายตัวว่าเจ้าพยายมราช และพญานกเค้าแมวหมายตัวว่า กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ตามเรื่องที่กล่าวว่า พญานกเค้าแมวรับไก่ยี่ปุ่นไว้แล้ว และกระทำชู้กับนางไก่ญี่ปุ่นนั้น เป็นการใส่ความซึ่งอาจจะให้เสียชื่อเสียง ใช่แต่เท่านั้น ความที่กล่าวถึงพญาเหยี่ยวว่า เป็นเจ้าอุบายมารยาก็เป็นการหมิ่นประมาท เจ้าพระยายมราชด้วยอีกคนหนึ่ง แต่เพราะความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 ว่าการฟ้องร้องเอาโทษแก่ผู้กระทำความผิดหมิ่นประมาทนั้น ท่านให้ถือว่าต่อผู้ที่ได้รับความเสียงหานมาร้องทุกข์ จึงให้เจ้าพนักงานเอาคดีนั้นขึ้นว่ากล่าวดังนี้ ตามจดหมายที่เจ้าพระยายมราชทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นแต่นำความทุกข์ร้อนในส่วนตัวเจ้าพยายมราชด้วยไม่ จึงควรสันนิฐานแต่ในส่วนที่หมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์พระองค์เดียว
ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ลักษณะที่จะเป็นหมิ่นประมาทกล่าวไว้ในกฎหมายว่า ผู้ที่กล่าวต้องกล่าวต่อหน้าบุคคล 2 คนขึ้นไป หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่ 2 คนขึ้นไปอันนับว่าเป็นอย่างโทษเบาประการหนึ่ง ถ้าโฆษณาในสมุดหรือในหนังสือที่มีกำหนดคราวโฆษณา หรือโฆษณาในแบบอย่างและในจดหมายอย่างใดๆ นับว่าเป็นโทษหนักประการหนึ่ง
กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ชี้แจงว่า เรื่องปักษีปรกรัมนี้ไม่ได้บอกแก่ผู้ใด 2 คนพร้อมกัน หรือไม่ได้ส่งหนังสือไปให้แก่ผู้ใดพิมพ์สองคนพร้อมกัน และพิมพ์แล้วก็ไม่ได้จำหน่ายให้แก่ผู้ใดสองคนพร้อมกัน และพิมพ์แล้วก็ไม่ได้จำหน่ายดังอธิบายไว้ในประมวลอาญาราชบุรีดังนี้ หนังสือประมวลอาญาราชบุรีเป็นหนังสือแต่งขึ้นโดยความเห็นเฉพาะพระองค์กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ไม่ใช่ตัวบทกฎหมาย แม้จะว่าประการใด ข้าพระพุทธเจ้าหาได้เอามาเป็นหลักในทางวินิจฉัยในคดีเรื่องนี้ไม่ เพราะตัวบทกฎหมาย มาตรา 282 มีอยู่ชัดว่า ถ้ากล่าวต่อหน้าคนแต่สองคนขึ้นไปก็ดี หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่สองคนขึ้นไปก็ดี กฎหมายว่าเป็นฐานหมิ่นประมาทความที่กล่าวแก่บุคคลนับแต่สองคนขึ้นไปนี้ หมายความชัดเจนว่า แม้กล่าวแก่แต่ทีละคน ถ้าจำนวนที่ได้ฟังแต่สองคนขึ้นไป เป็นฐานหมิ่นประมาท มรส่วนโฆษณานั้น คำว่า โฆษณานี้คนมักเข้าใจว่าต่อประกาศแผ่เผยดังพิมพ์หนังสือขายหรือเขียนประกาศปิดให้ใครๆ รู้ได้ทั่วไปจึงจะเป็นโฆษณาแต่คำว่าโฆษณาในกฎหมายมาตรานี้ ไม่ได้หมายความเช่นนั้นและไม่ได้หมายเฉพาะแต่ต้องพิมพ์ เพราะกฎหมายในมาตรานี้ได้กล่าวความจำแนกไว้ชัดว่า โฆษณาในหนังสือพิมพ์อย่างนั้นๆ ก็ดีในแบบอย่างก็ดี ในจดหมายอย่างใดๆ ก็ดี เพราะฉะนั้นแม้แต่เขียนจดหมาย อันเป็นความหมิ่นประมาทด้วยลายมือ ส่งไปให้ผู้อื่นได้อ่านรู้ความจดหมายนั้นแต่สองคนขึ้นไป ต้องเป็นโฆษณาตามความในกฎหมายมาตรานี้ ไม่จำจะต้องรอไว้จนถึงหนังสือนั้นได้ออกจำหน่ายจึงจะเป็นโฆษณา การที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ส่งหนังสือเรื่องปักษีปรกณัมไปให้โรงพิมพ์ตีพิมพ์นั้น พออยู่แล้วที่จะถือว่าเป็นจดหมาย และในการพิมพ์ต้องมีผู้ได้รู้เห็นอ่านกว่าสองคนขึ้นไป ใช่แต่เท่านั้นยังมีความปรากฏว่าหนังสือเรื่องนี้ได้มีผู้อื่นได้ไปอ่านอีกถึงกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แก้ว่า เจ้าของโรงพิมพ์หากให้ไปโดยกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ไม่ได้อนุญาต เหมือนอย่างผู้ร้ายลักไป ถ้าจะยอมข้อความอย่างที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แก้นี้เป็นข้อแก้ตัวก็จะต้องยอมถึงหากว่าผู้ใดๆ เขียนข้อความอันเป็นข้อหมิ่นประมาทแล้วเที่ยงจงใจหรือละเลยวางทิ้งไว้ มีผู้อื่นไปพบเห็นรู้ความโดยผู้เขียนไม่ได้อนุญาต จะไม่เป็นหมิ่นประมาทด้วยความผิดที่สำคัญอย่ในชั้นที่กล่าวหรือเขียนคำอันหมิ่นประมาทผู้อื่น ถ้าผู้ที่ไม้อยากปิดแล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าว หรือไม่ควรจะเขียนทีเดียว ถ้าได้กล่าวหรือได้เขียนไปแล้วความผิดๆ กันแต่เพียงมากและน้อยหาเป็นเหตุที่จะลบล้างเพราะผู้อื่นรู้โดยได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับอนุญาตไม่ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยโฆษณาด้วยจดหมาย
ในกฎหมายอาญา มาตรา 183 ในหมวด 3 มีข้อยกเว้นไม่เอาโทษแก่ผู้แสดงความคิดเห็นของตน ซึ่งคิดเห็นโดยสุจริตในลักษณะต่างๆ 4 ประการ คือ
1. ในการที่จะแสดงความชอบธรรมของตน หรือในการที่จะต้องต่อสู้ป้องกันตนหรือในการป้องกันประโยชน์ อันชอบด้วยกฎหมายประการหนึ่ง
2. เจ้าพนักงานกล่าวความในรายงานตามตำแหน่งหน้าที่ของตนประการ 1
3. การที่กล่าวสรรเสริญและติเตียนบุคคลหรือสิ่งใดๆ โดยสุภาพ อันเป็นวิสัยธรรมดาสาธารณชนย่อมกล่าวกันประการหนึ่ง
4. การที่โฆษณาหรือกล่าวถึงการที่ดำเนินอยู่ในโรงศาลใดๆ หรือในที่ประชุมใดๆ และกล่าวแต่โดยสุภาพประการหนึ่ง
ลักษณะที่แสดงความคิดเห็น 4 ประการนี้ กฎหมายว่า ไม่มีโทษฐานหมิ่นประมาท
กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้แก้คดีเรื่องนี้ว่า ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะเอาเรื่องภักตร์หนีมาแต่เป็นโคลงบทละครเรื่องปักษีปกรณัม เป็นการปฏิเสธข้อหาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่เข้าในข้อยกเว้นประการใดในกฎหมายมาตรานี้
ฐานโทษการหมิ่นประมาทด้วยการเขียนจดหมาย ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 มีโทษสามสถาน คือ สถานที่หนึ่งให้จำคุกไม่เกินปรับหนึ่ง หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือสถานหนึ่งให้จำคุกและปรับด้วยโดยกำหนดที่ว่ามาทั้งสองสถานกฎหมายว่าได้ดังนี้ทางพิจารณาเรื่องนี้ได้ความว่า เจ้าพระยายมราชเป็นผู้ขอร้องให้กรมหมื่นราชบุริดิเรกฤทธิ์ช่วยรับภักตร์ไว้ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้ให้อารักขาแก้ภักตร์โดยถือว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่ราชการ เพื่อจะป้องกันความเสียหาย อันอาจจะเกิดขึ้นแม้แก่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เอง กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์กลับหมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ด้วยแกล้งแต่งบทละครใส่ความให้เสียพระนามและเกียรติยศดังนี้ เป็นความผิดหนักอีกชั้นหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นด้วยเกล่าฯ พร้อมกันว่ากรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ควรรับพระราชอาญาจำขังไว้มีกำหนดปีหนึ่งตามกฎหมาย ส่วนหนังสือ ปักษีปกรณัม ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่ง ซึ่งเป็นต้นฉบับก็ดี หรือที่โรงพิมพ์ก็ดี ควรให้เผาไฟเสียให้สิ้นเชิง ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันดังนี้
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ
กรมขุนสรรพสิทธิ์
เทววงษ์วโรปการ
ดำรงราชานุภาพ
ณ วันที่ 6 มิถุนายน รัตนโกสินทร์ศก 129
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น