

คำขวัญประจำจังหวัด
"น้ำตกจากสันภูพาน อุทยานแห่งธรรมะ อารยธรรมห้าพันปี ธานีผ้าหมี่ขิต แดนเนรมิตหนองประจักษ์ เลิศลักษณ์กล้วยไม้หอมอุดรซันไชน์ "
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดหนองคาย ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดขอนแก่น และกาฬสินธุ์ ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดสกลนคร ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดเลย และหนองบัวลำภู
ประวัติจังหวัดอุดรธานี
จากหลักฐานประวัติศาสตร์และโบราณคดี พบว่าบริเวณพื้นที่ที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน เคยเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ 5,000-7,000 ปี จากหลักฐานการค้นพบที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน และภาพเขียนสีผนังถ้ำที่อำเภอบ้านผือ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีระหว่างประเทศว่า ชุมชนเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่จังหวัดอุดรธานีมีอารยธรรมความเจริญในระดับสูงและอาจถ่ายทอดความเจริญนี้ไปสู่ประเทศจีนก็อาจเป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผาเขียนสีลายเส้นที่บ้านเชียงนั้น สันนิษฐานว่าอาจเป็นเครื่องปั้นดินเผาเขียนสีลายเส้นที่เก่าที่สุดของโลก
หลังจากยุคความเจริญที่บ้านเชียงแล้ว พื้นที่ที่จังหวัดอุดรธานีก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาจนกระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนับแต่สมัยทวารวดี (พ.ศ. 1200-1600) สมัยลพบุรี (พ.ศ.1200-1800) และสมัยสุโขทัย (พ.ศ.1800-2000) จากหลักฐานที่พบคือ ใบเสมาสมัยทวารวดี ลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ แต่ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ในขณะนั้นแต่อย่างใด
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พื้นที่จังหวัดอุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์เมื่อราวปีจอ พ.ศ. 2117 พระเจ้ากรุงหงสาวดี (บุเรงนอง) ได้ทรงเกณฑ์ทัพไทยไปช่วยตีกรุงศรีสัตนาคณหุต (เวียงจันทน์) โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพไทยยกมาถึงเมืองหนองบัวลำภู (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเวียงจันทน์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประชวรด้วยไข้ทรพิษ จึงยกทัพกลับไม่ต้องรบพุ่งกับเวียงจันทน์ และที่เมืองหนองบัวลำภูนี่เองสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีนั้น จังหวัดอุดรธานีได้เกี่ยวข้องกับการศึกสงคราม กล่าวคือในระหว่าง พ.ศ. 2369-2371 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมา และเมื่อพ่ายแพ้ชาวนครราชสีมา ซึ่งมีผู้นำคือ คุณหญิงโม (ท้าวสุรนารี) กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้ถอยทัพมาตั้งรับที่เมืองหนองบัวลำภู และได้ต่อสู้กับกองทัพไทยและชาวเมืองหนองบัวลำภู จนทัพเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไป ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2411 ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในมณฑลลาวพวน เนื่องจากพวกฮ่อ (ชาวจีนที่คุมกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นพวกเดินทางมาทางบกเข้าสู่ประเทศไทยทางตอนเหนือและอีสาน เรียกว่าพวกจีนฮ่อ) ยกพวกเข้าปล้นสะดมพลเมือง ในเขตเมืองลาวพวนและหัวเมืองเหนือ ซึ่งกองทัพไทยได้ยกขึ้นไปปราบปรามจนสงบลงได้ชั่วคราว ในปี พ.ศ. 2428 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พวกฮ่อได้รวมตัวก่อการร้ายกำเริบขึ้นอีกในมณฑลลาวพวนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และมีท่าทีจะรุนแรงมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม (ต้นราชสกุลทองใหญ่) เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้และเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือไปทำการปราบปรามพวกฮ่อ ในเวลานั้นจังหวัดอุดรธานียังไม่ปรากฏชื่อเพียงปรากฏบ้านหมากแข้ง หรือบ้านเดื่อหมากแข้งสังกัดเมืองหนองคาย ขึ้นการปกครองกับมณฑลลาวพวนและกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ได้เดินทัพผ่านบ้านหมากแข้ง ไปทำการปราบปรามพวกฮ่อจนสงบ ภายหลังการปราบปรามพวกฮ่อสงบแล้วไทยได้มีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศสต้องการ ลาว เขมร ญวน เป็นอาณานิคมเรียกว่ากรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาประเทศไว้จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสและตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างไทย-ฝรั่งเศสมีเงื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมบริการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตรของฝั่งแม่น้ำโขง ดังนั้นหน่วยทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ที่เมืองหนองคายอันเป็นเมืองศูนย์กลางของหัวเมืองหรือมณฑลลาวพวน ซึ่งมีกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการจำต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อบ้านเดื่อหมากแข้ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร เมื่อทรงพิจารณาเห้นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสมเพราะมีแหล่งน้ำดี เช่น หนองนาเกลือ (หนองประจักษ์ศิลปาคมในปัจจุบัน) และหนองน้ำอีกหลากแห่งรวมทั้งห้วยหมากแข้ง ซึ่งเป็นลำห้วยใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมบัญชาให้ตั้งศูนย์มณฑลลาวพวน และตั้งกองทหารขึ้น ณ หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานีจึงได้ตั้งขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศยิ่งกว่าเหตุผลอื่นดังเช่นหัวเมืองสำคัญต่างๆ ในอดีต อย่างไรก็ตามคำว่า “อุดร” มาปรากฏขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2450 (พิธีตั้งเมืองอุดรธานี 1 เมษายน ร.ศ. 127 (พ.ศ.2450) โดยพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์)) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านเดื่อหมากแข้งอยู่ในการปกครองของมณฑลลาวพวน
หลักการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบการปกครองประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แล้วได้มีการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินยกเลิกการปกครองในระบบมณฑลในส่วนภูมิภาค ยังคงเหลือเฉพาะจังหวัดและอำเภอเท่านั้น มณฑลอุดรจึงถูกยุบเลิกไปเหลือเพียงจังหวัดอุดรธานีนับแต่นั้นมา
หลังจากยุคความเจริญที่บ้านเชียงแล้ว พื้นที่ที่จังหวัดอุดรธานีก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาจนกระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนับแต่สมัยทวารวดี (พ.ศ. 1200-1600) สมัยลพบุรี (พ.ศ.1200-1800) และสมัยสุโขทัย (พ.ศ.1800-2000) จากหลักฐานที่พบคือ ใบเสมาสมัยทวารวดี ลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ แต่ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ในขณะนั้นแต่อย่างใด
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พื้นที่จังหวัดอุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์เมื่อราวปีจอ พ.ศ. 2117 พระเจ้ากรุงหงสาวดี (บุเรงนอง) ได้ทรงเกณฑ์ทัพไทยไปช่วยตีกรุงศรีสัตนาคณหุต (เวียงจันทน์) โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพไทยยกมาถึงเมืองหนองบัวลำภู (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเวียงจันทน์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประชวรด้วยไข้ทรพิษ จึงยกทัพกลับไม่ต้องรบพุ่งกับเวียงจันทน์ และที่เมืองหนองบัวลำภูนี่เองสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีนั้น จังหวัดอุดรธานีได้เกี่ยวข้องกับการศึกสงคราม กล่าวคือในระหว่าง พ.ศ. 2369-2371 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมา และเมื่อพ่ายแพ้ชาวนครราชสีมา ซึ่งมีผู้นำคือ คุณหญิงโม (ท้าวสุรนารี) กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้ถอยทัพมาตั้งรับที่เมืองหนองบัวลำภู และได้ต่อสู้กับกองทัพไทยและชาวเมืองหนองบัวลำภู จนทัพเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไป ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2411 ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในมณฑลลาวพวน เนื่องจากพวกฮ่อ (ชาวจีนที่คุมกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นพวกเดินทางมาทางบกเข้าสู่ประเทศไทยทางตอนเหนือและอีสาน เรียกว่าพวกจีนฮ่อ) ยกพวกเข้าปล้นสะดมพลเมือง ในเขตเมืองลาวพวนและหัวเมืองเหนือ ซึ่งกองทัพไทยได้ยกขึ้นไปปราบปรามจนสงบลงได้ชั่วคราว ในปี พ.ศ. 2428 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พวกฮ่อได้รวมตัวก่อการร้ายกำเริบขึ้นอีกในมณฑลลาวพวนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และมีท่าทีจะรุนแรงมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม (ต้นราชสกุลทองใหญ่) เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้และเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือไปทำการปราบปรามพวกฮ่อ ในเวลานั้นจังหวัดอุดรธานียังไม่ปรากฏชื่อเพียงปรากฏบ้านหมากแข้ง หรือบ้านเดื่อหมากแข้งสังกัดเมืองหนองคาย ขึ้นการปกครองกับมณฑลลาวพวนและกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ได้เดินทัพผ่านบ้านหมากแข้ง ไปทำการปราบปรามพวกฮ่อจนสงบ ภายหลังการปราบปรามพวกฮ่อสงบแล้วไทยได้มีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศสต้องการ ลาว เขมร ญวน เป็นอาณานิคมเรียกว่ากรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาประเทศไว้จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสและตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างไทย-ฝรั่งเศสมีเงื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมบริการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตรของฝั่งแม่น้ำโขง ดังนั้นหน่วยทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ที่เมืองหนองคายอันเป็นเมืองศูนย์กลางของหัวเมืองหรือมณฑลลาวพวน ซึ่งมีกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการจำต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อบ้านเดื่อหมากแข้ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร เมื่อทรงพิจารณาเห้นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสมเพราะมีแหล่งน้ำดี เช่น หนองนาเกลือ (หนองประจักษ์ศิลปาคมในปัจจุบัน) และหนองน้ำอีกหลากแห่งรวมทั้งห้วยหมากแข้ง ซึ่งเป็นลำห้วยใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมบัญชาให้ตั้งศูนย์มณฑลลาวพวน และตั้งกองทหารขึ้น ณ หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานีจึงได้ตั้งขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศยิ่งกว่าเหตุผลอื่นดังเช่นหัวเมืองสำคัญต่างๆ ในอดีต อย่างไรก็ตามคำว่า “อุดร” มาปรากฏขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2450 (พิธีตั้งเมืองอุดรธานี 1 เมษายน ร.ศ. 127 (พ.ศ.2450) โดยพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์)) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านเดื่อหมากแข้งอยู่ในการปกครองของมณฑลลาวพวน
หลักการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบการปกครองประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แล้วได้มีการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินยกเลิกการปกครองในระบบมณฑลในส่วนภูมิภาค ยังคงเหลือเฉพาะจังหวัดและอำเภอเท่านั้น มณฑลอุดรจึงถูกยุบเลิกไปเหลือเพียงจังหวัดอุดรธานีนับแต่นั้นมา
ความหมายของตราประจำจังหวัด
ตราประจำจังหวัดอุดรธานี เป็นรูปท้าวเวสสุวัณหรือท้าวกุเวร เป็นพญายักษ์ถือกระบองซึ่งเป็นท้าวโลกบาล ผู้คุ้มครองรักษาโลกประจำอยู่ทิศเหนือหรือทิศอุดร จังหวัดอุดรธานีจึงได้ใช้รูปท้าวเวสุวัณเป็นตราประจำจังหวัด โดยกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบเมื่อ พ.ศ. 2483
แนะนำให้ท่านได้รู้จักจังหวัดอุดรธานีกันแบบคร่าว ๆ (รึเปล่า) ต่อไปผมจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจุงหวัดอุดรธานีให้ได้ทราบกัน เผื่อว่าท่านมีโอกาสได้มาสัมผัสดินแดนที่ราบสูงนี้จะได้ทราบว่าควรไปที่ไหน อย่างไรบ้างครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น