วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คดีพญาระกา


ถ้าหากท่านได้อ่านบทความ เรื่อง "อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม" บางท่านอาจมีข้อสงสัยในเนื้อหาประวัติของท่าน จากการที่ท่านโดน "ปัพพาชนียกรรม" ซึ่งหมายถึงโดนขับห้ามเข้าเฝ้า จากเรื่อง "คดีพญาระกา" ผมจึงไปค้นเรื่อง "คดีพญาระกา" มารับใช้ท่านผู้อ่าน เพื่อจะได้ทราบความเป็นมาของคดีนี้ ยาวนิดนึงแต่ผมว่ามันก็น่าติดตามดีลองอ่านกันดูนะครับ

เช่นเดียวกับเจ้านายในสมัยนั้น กรมพระนราธิปฯทรงมีหม่อมหลายคน และในจำนวนนี้ก็มีนางละครโด่งดังในคณะละครนฤมิตร์ที่ได้เป็นหม่อมด้วย ชื่อพักตร์หม่อมพักตร์(ซึ่งคงเป็นสาวสวย) ไม่ได้เป็นสุขกับฐานะของตน จึงทิ้งตำแหน่งหม่อม หนีออกจากวังไปเมื่อปลายเดือนธ.ค. 2452 ไปอาศัยอยู่ที่บ้านฝั่งธนบุรี แต่กรมพระนราธิปฯเองก็ไม่เต็มพระทัยจะสูญเสียหม่อมพักตร์ จึงทรงติดตามไปเพื่อจะเอาตัวกลับมา เกิดเรื่องราวกับเจ้าของบ้าน เป็นเรื่องอื้อฉาวถึงขั้นพวกเขาพร้อมใจกันทำเรื่องถวายฎีกาว่ากรมพระนราธิปฯทรงบุกรุกเข้าไปถึงในบ้าน เอะอะใหญ่โตเป็นที่เดือดร้อนแก่ราษฎร เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบจากฎีกา ก็มีพระราชดำรัสห้ามกรมพระนราธิปฯไม่ให้ทำอีกแม้ว่ากรมพระนราธิปฯไม่ได้ตัวหม่อมพักตร์กลับไปอย่างพระประสงค์ แต่เธอก็อยู่บ้านนั้นต่อไปอีกไม่ได้ จำต้องออกจากบ้านฝั่งธน มาอาศัยการอารักขาของตำรวจพระนครบาลทางฟากพระนคร ซึ่งขึ้นกับเสนาบดีคือเจ้าพระยายมราช เจ้าพระยายมราชเห็นผู้หญิงคนเดียวจะเป็นชนวนให้เดือดร้อนกันไปทั้งกรม ก็เกลี้ยกล่อมให้หม่อมพักตร์กลับเข้าวังสวามีของเธอไปเสียให้หมดเรื่อง แต่เธอก็ยืนกรานไม่สมัครใจกลับท่าเดียวเจ้าพระยายมราชเห็นเป็นภาระยืดเยื้อแก่นครบาล ก็เลยไปทูลปรึกษาเจ้านายที่คิดว่ามีบารมีพอจะคุ้มครองหม่อมพักตร์ได้ คือกรมหลวงราชบุรีฯ กรมหลวงราชบุรีฯทราบเรื่องก็ทรงต้อนรับและให้การคุ้มครองด้วยดี เรื่องก็สงบไปแต่ว่ากรมพระนราธิปฯไม่พอพระทัย ยังกริ้วหนักและทรงบ่นกับใครต่อใครว่าเสนาบดีนครบาลเป็นใจให้หม่อมของท่านหนีดังนั้นแทนที่เรื่องจะจบ ก็เลยเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตวุ่นวายยิ่งกว่าเดิมขึ้นมามาถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2453 บทละครเรื่องใหม่ของนฤมิตร์ พระนิพนธ์ในกรมพระนราธิปฯ ที่จะไปแสดงถวายหน้าพระที่นั่ง มีชื่อว่า \"ปักษีปะกรนัม เรื่องพญาระกา\" เมื่อนิพนธ์เสร็จ กรมพระนราธิปฯทรงนำไปให้กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอาภากร ต้นราชสกุล อาภากร ณ อยุธยา) เพื่อขอให้ทรงแต่งทำนองขับร้องให้ กรมหลวงชุมพรฯทรงอ่านแล้วรู้สึกว่าเนื้อเรื่องพิกลๆ ก็ไม่ทรงรับทำ แต่ทรงคัดบทกลอนบางตอนไว้แล้วนำไปหารือกรมหลวงพระจักษ์ศิลปาคม (พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ต้นราชสกุลทองใหญ่ ฯ ณ อยุธยา พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4) กรมหลวงประจักษ์ฯ อ่านแล้วก็นำไปถวายให้กรมหลวงราชบุรีฯ อ่านบ้างเนื้อเรื่องของ\" พญาระกา\" อย่างย่อๆ มีอยู่ว่า พญาระกามีเมียมาก มีเมียตัวหนึ่งเป็นนางไก่ญี่ปุ่นซึ่งไม่พอใจตัวพญาระกา พอได้โอกาสก็แยกฝูงไป พบไก่ชนที่ปลายนาเกิดรักใคร่เป็นชู้กัน พอรู้ถึงพญาระกา ก็ตามไปตีไก่ชนจนแพ้และหนีไป นางไก่ญี่ปุ่นก็หนีเตลิดไปพบตาเฒ่านกกระทุงริมบึง ตาเฒ่าเอาไปเลี้ยงไว้ แต่ยายเฒ่านกกระทุงหึงหวง ประกอบกับได้ข่าวว่าพญาระกาผู้มีฤทธิ์กำลังติดตามค้นหา นกกระทุงจึงไล่นางไก่ญี่ปุ่นไปหาพญาเหยี่ยว พญาเหยี่ยวเห็นว่ารับไว้จะเกิดปัญหา จึงส่งนางไปถวายเจ้านกเค้าแมว เจ้านกเค้าแมวเกิดความปฏิพัทธ์นางไก่ญี่ปุ่น ไม่รังเกียจว่าเสียเนื้อตัวมาแล้ว เพราะนกเค้าแมวก็กินของโสโครกอยู่แล้ว จึงได้นางไก่เป็นเมียในบทตอนนี้มีกล่าวติเตียนชัดเจนว่า พญาเค้าแมวเป็นผู้หลงระเริงในราคะ จนลืมความละอายต่อบาป เอาเมียของอาเป็นเมียได้ ฝ่ายนางนกเค้าแมวมเหสีได้ข่าวก็มาหึง แต่พญาระกากลับเข้าข้างนางไก่ ไล่ตีนางนกเค้าแมวหนีกลับเข้ารังไปต่อมาพญาเค้าแมวยกทัพจะไปรบกับพญาระกา แต่เมื่อเผชิญหน้ากันยังไม่ทันรบพุ่ง ก็พอดีจวนรุ่งเช้า พญาระกาขันขึ้นมา ส่วนนกเค้าแมวตาฟางเพราะแสงอรุณเลยแพ้ เลิกทัพหนีไป



กรมหลวงราชบุรีฯ อ่านแล้ว ทรงเห็นว่า เป็นเรื่องแต่งว่ากล่าวกระทบกระเทียบเปรียบเปรยพระองค์ในกรณีหม่อมพักตร์ ก็กริ้วมาก ประกอบกับทรงได้ข่าว(ซึ่งรู้ภายหลังว่าไม่จริง)ว่าพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรบทละครแล้ว มิได้ทรงทักท้วงแต่อย่างใด ซ้ำยังกำหนดจะให้เล่นถวายในวันที่ 3 มิถุนายน เสียอีก ถ้าหากว่าเล่นขึ้นมาเมื่อไรก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต พระองค์คงจะได้รับความอัปยศอย่างมาก ทรงเห็นพระเจ้าอยู่หัวเองก็ไม่ทรงพระเมตตาพระราชโอรสเสียแล้วถึงปล่อยให้ละครเล่นเรื่องนี้ต่อหน้าราชสำนักได้อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่ากรมหลวงราชบุรีฯทรงเป็นผู้มีพระทัยเร็ว เมื่อกริ้วเรื่องนี้มาก ก็ถึงขั้นบรรทมไม่หลับทั้งคืน เช้าก็ทรงประชุมข้าราชการกระทรวงยุติธรรมมาแจ้งเรื่องให้ทราบ และ ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงเจ้าพระยายมราชเล่าเรื่องนี้พร้อมส่งบทละครไปด้วย ทรงเห็นว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นไปถึงขั้นนี้ ก็ทรงโทมนัสเกินกว่าจะอยู่ดูหน้าผู้คนได้ ขอให้เจ้าพระยายมราชจัดการตามแต่เห็นสมควร แล้วก็เสด็จลงเรือไปแต่ลำพัง ไปอยู่ที่ศาลเจ้าองครักษ์ที่ปลายคลองรังสิตก่อนหน้าเกิดเรื่องนี้ ราววันที่ ๒๐ เมษายน กรมหลวงราชบุรีฯเคยทำหนังสือทูลเกล้าฯถวายขอลาออกจากตำแหน่งเสนาบดี ทรงแถลงเหตุผลว่า ประชวร มีอาการปวดพระเศียรเป็นกำลัง ในสมองร้อนเผ็ดเหมือนหนึ่งโรยพริกไทยระหว่างมันสมองกับกระดูก คิดและจำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ทำงานแม้แต่นิดหน่อยก็เหนื่อย หมอไรเตอร์ตรวจพระอาการแล้วว่าจำต้องหยุดงานพักรักษาพระองค์ จึงกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีพระเจ้าอยู่หัวทรงเก็บลายพระหัตถ์ฉบับนี้ไว้เฉยๆไม่มีพระบรมราชโองการลงมา และไม่เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ จนเกิดเรื่อง\" พญาระกา\" ขึ้นวันรุ่งขึ้นหลังจากกรมหลวงราชบุรีฯเสด็จออกจากพระนครไปโดยมิได้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงยุติธรรมรวม ๒๘ คนก็ประชุมกัน แล้วลงชื่อถวายฎีกาขอลาออกจากราชการตามกรมหลวงราชบุรีฯ ซึ่งถ้าหากว่าออกไปจริงๆ กระทรวงและศาลยุติธรรมก็จะดำเนินการต่อไปไม่ได้ เพราะขาดข้าราชการสำคัญถึง ๒๘ คน เรียกว่ายกกระทรวงออกไปก็ว่าได้ ในฎีกานี้ ผู้ลงชื่อเป็นอันดับต้นคือพระยาจักรปาณีฯ ปลัดทูลฉลอง และอีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้คือขุนหลวงพระยาไกรสี(เทียม บุนนาค) อธิบดีศาลต่างประเทศเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนั้นก็ว่าได้ ประจวบเหมาะกับบ้านเมืองมีเรื่องใหญ่อยู่แล้ว ให้พระเจ้าอยู่หัวทรงพะวงอยู่ถึง ๒ เรื่อง เรื่องแรกคือท่ายดยุคโยฮันน์ อัลเบร็คต์ แห่งเม็คเคล็นเบอร์ก เชวริน กำลังจะเสด็จเยือนสยาม ทางไทยไม่ต้องการให้มีเหตุขลุกขลักอะไรในบ้านเมืองเมื่อแขกเมืองมาถึง เรื่องที่สองคือคนจีนในพระนครพร้อมใจกันประท้วงหยุดงานตั้งแต่ ๑ มิถุนายน รัฐบาลกำลังเฝ้าระวังเต็มที่ไม่ให้เกิดเหตุร้ายแทรกแซง ก็ไม่มีใครนึกว่าจะเกิดเหตุที่สาม คือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงยุติธรรม ลุกขึ้น\"สไตร๊ค์\" ราวกับจะแข่งกับคนจีนเสียเอง แล้วสาเหตุเรียกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับระบบงานในกระทรวงพอฎีกาทูลลาออกของข้าราชการ ๒๘ คนหลุดจากมือไปถึงทางการ ก็วุ่นวายกันไปทั้งกระทรวงและพระบรมมหาราชวัง คนกลางในเรื่องนี้คือเจ้าพระยายมราชได้พยายามห้ามปรามไกล่เกลี่ยเท่าไร ข้าราชการทั้ง ๒๘ (ซึ่งว่ากันว่าขุนหลวงพระยาไกรสีเป็นแกนนำ)ก็ยืนกรานจะทำจนได้ดังนั้นเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบเรื่องฎีกา ก็ทั้งพิโรธและโทมนัสอย่างมาก ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์รวมทั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ(คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)เข้าเฝ้าด่วนเพื่อสอบสาวราวเรื่อง เพื่อจะนำไปสู่การพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิด ส่วนข้าราชการทั้ง ๒๘ คนนั้น พระเจ้าอยู่หัวพิโรธมาก ถึงกับทรงเรียกว่า\'๒๘ มงกุฎ\' และให้เขียนชื่อปิดไว้ที่ปลายพระแท่นบรรทมเพื่อทรงสาปแช่ง จดหมายเหตุรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจดพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนนี้ไว้ว่า\'ไม่มีแบบแผนอะไรเลยที่จะทำเช่นนี้ ทั้งในเมืองไทยเมืองฝรั่ง จะหาอะไรที่จะแก้แทนคนพวกนี้ไม่ได้จนนิดเดียว เปนอย่างอัปรีย์ที่สุดที่แล้ว หาอะไรเปรียบไม่ได้ เอาการส่วนตัวมายกขึ้นเปนเหตุที่จะงดไม่ทำการตามน่าที่ราชการ นับว่าปราศจากความคิด ปราศจากความกตัญญูต่อพระเจ้าแผ่นดิน และต่อแผ่นดิน ถือนายมากกว่าเจ้า\'



พระยาจักรปาณีฯ นับว่าโชคดีมากที่มีกัลยาณมิตรแท้จริง คือกรมขุนศิริธัชสังกาศ ทรงยื่นมือเข้ามาช่วยในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่มีใครอื่นช่วยเหลือได้พอทราบเรื่อง กรมขุนศิริธัชฯก็เสด็จมาที่บ้านพระยาจักรปาณีฯทันทีกลางดึก ปลุกเจ้าของบ้านขึ้น บังคับให้เขียนหนังสือสารภาพผิด ขอพระราชทานอภัยโทษ และขอถอนหนังสือกราบถวายบังคมลาออก กรมขุนศิริธัชนำหนังสือของพระยาจักรปาณีฯ ทูลเกล้าฯถวายพระเจ้าอยู่หัวทันที ไม่ให้รอช้าข้ามวันท่านผู้หญิงดุษฎี มาลากุล ธิดาของเจ้าพระยามหิธร เล่าว่าสามีของท่านคือม.ล.ปิ่น มาลากุล ได้พบหลักฐานที่เก็บไว้ในหอจดหมายเหตุ แล้วนำมาให้ท่าน ท่านบันทึกไว้เกี่ยวกับหนังสือกราบถวายบังคมลาออกจากราชการว่า\" คุณพ่อเขียนหนังสือดี ไม่มีการหมิ่นพระบรมราชานุภาพแม้แต่น้อย คุณพ่อเขียนว่าการที่รับราชการอยู่ทุกวันนี้ได้ ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้า แต่ในทางวิชาการนั้นต้องพึ่งพระปัญญาของกรมหลวงราชบุรีฯ เมื่อกรมหลวงราชบุรีฯทูลลาออก คุณพ่อก็หมดปัญญาที่จะฉลองพระเดชพระคุณต่อไป ส่วนหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษนั้น คุณพ่อเขียนว่า ได้กระทำไปเพราะความโง่เขลาเบาปัญญา และถ้าแม้บังอาจกระทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เช่นนี้อีกแล้ว ก็ขอพระราชทานถวายชีวิต\"กรมขุนศิริธัชสังกาศได้นำหนังสือของพระยาจักรปาณีฯเข้าไปทูลเกล้าฯถวาย พระเจ้าอยู่หัวก็ค่อยคลายพระพิโรธลง ข้าราชการอื่นๆอีก ๒๖ คนก็ได้ทำตามคือทำหนังสือขอพระราชทาน อภัยโทษหมดทุกคน เว้นแต่คนเดียวคือขุนหลวงพระยาไกรสี ซึ่งมีหนังสือกราบบังคมทูลด้วยโวหารว่าตนมิได้เป็นผู้ผิดบันทึกส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานเจ้าพระยารามราฆพ ทรงกล่าวถึงขุนหลวงพระยาไกรสีไว้ว่า\" หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์(กฤดากร) เล่าต่อไปว่า ขุนหลวงพระยาไกรสีนั้นไม่เรียบร้อยเช่นคนอื่นๆ แสดงตนกระด้างกระเดื่อง และว่าได้มีหนังสือทูลเกล้าฯแก้ตัวไปโดยโวหารหมอความ ทำให้พระเจ้าอยู่หัวกริ้วมาก จะลงพระราชอาญาให้เป็นตัวอย่าง\"เรื่อง ๒๘ มงกุฎที่ว่านี้ ปรากฏว่าคนต้นคิดไม่ใช่พระยาจักรปาณีฯ แต่เป็นขุนหลวงพระไกรสี ท่านจึงถูกถอดจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลคดีต่างประเทศ และเคราะห์ร้ายซ้ำสอง ถูกถอดจากบรรดาศักดิ์ เพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆได้กลับเข้ารับราชการทั้งหมด แต่ก็แน่ละว่าอนาคตทางราชการไม่มั่นคงเท่าเดิมเจ้านายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพญาระกา ต่างก็ได้รับผลกระทบคนละอย่าง กรมหลวงราชบุรีฯกลับเข้ามากราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ และได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่โปรดเกล้าฯให้ทรงพ้นตำแหน่งเสนาบดีไปตามที่เคยกราบถวายบังคมลามาก่อน หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากรขึ้นเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมแทน ส่วนกรมพระนราธิปฯ ทรงถูกลงโทษอย่างเจ้านาย เรียกว่าติดสนมคือต้องเข้ามาประทับในพระบรมมหาราชวังออกไปไหนไม่ได้มีกำหนด ๑ ปี มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล แต่ว่าหม่อมและพระโอรสธิดาเจ้าไปเยี่ยมได้เป็นเวลาตามสมควรเจ้านายพระองค์ที่สามคือกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งมีส่วนให้กรมหลวงราชบุรีฯเข้าพระทัยผิด ถูกห้ามเข้าเฝ้าจนสิ้นรัชกาล แต่กรมพระนราธิปฯนั้นติดสนมอยู่ไม่นาน แค่ถึงเดือนกรกฎาคม กรมหลวงราชบุรีก็ทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษให้ ท่านก็เลยได้พ้นโทษ กลับไปวังของท่านเวลาล่วงมาถึงเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต



คำพิพากษาศาลรับสั่งพิเศษ


กระทรวงวัง


ณ วันพุธที่ 1 มิถุนายน ร.ศ.129 (พ.ศ.2453) เวลาค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน มีรับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ เสนาบดีกระทรวงวัง 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทววงษ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ 1 เข้าไปเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทพร้อมกันแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่าพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมให้เจ้าพระยายมราชนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ในวันที่ 1 มิถุนายนนั้นว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้แต่งบทละครเรื่องหนึ่ง เรียกชื่อว่า ปักษีปกรณัม ว่ากล่าวเปรียบเทียบหมิ่นประมาทให้เสียพระนามและพระเกียรติยศ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ และเจ้าพยายมราชนำบทละครซึ่งเป็นเหตุแห่งคดีอันนี้ทูลเกล้าฯ ถวายด้วย ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า คดีเรื่องนี้จะต้องพิจารณาให้ได้ความจริง และจะต้องวินิจฉัยให้เห็นผิดชอบเด็ดขาด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้ากรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ 1 กรมหลวงเทววงษ์วโรปการ 1 กรมหลวงดำรงราชานุภาพ 1 พร้อมกันเป็นผู้พิพากษาศาลรับสั่ง เรียกกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มาสอบถามและพิจารณาเอาความจริงขึ้นกราบบังคมทูลพร้อมด้วยเนื้อเห็นของข้าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 ในความผิดชอบแห่งคดีเรื่องนี้


ข้าพระพุทธเจ้าได้มีหมายเรียกกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ให้มาแก้คดี และให้ทำบรรดาหนังสือปักษีกรณัมเรื่องที่เกิดคดีอันนี้ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มีอยู่มาส่ง ณ ที่ว่าการกระทรวงวัง ณ วันที่ 2 มิถุนายน


ครั้น ณ วันที่ 2 มิถุนายน เวลาบ่าย 4 โมง ข้าพระพุทธเจ้าได้ประชุมพร้อมกัน ณ ที่ว่าการกระทรวงวังที่พระราชวังสวนดุสิต กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ได้นำต้นร่างบทละครเรื่องปักษีปกรณัม 2 ฉบับ กับสมุดพิมพ์บทละครเรื่องนี้ 499 ฉบับมาส่ง ว่าได้สัญญาแก่ช่างพิมพ์ให้พิมพ์ 500 ฉบับ อีกหนึ่งได้ทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม เหลืออยู่ 499 ฉบับ ไม่ได้จำหน่ายให้ปันแก่ผู้ใด ได้นำมาส่งตามหมายโดยสิ้นเชิง ถ้าแลผู้ใดจะมีหนังสือนี้อยู่ ก็คงจะได้ไปจากผู้พิมพ์ โดยกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ไม่ได้ทราบ และมิได้อนุญาต


เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไต่ถามกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ถึงเรื่องหนังสืปักษีกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์รับว่าได้แต่งเอาจริง ได้ดูตามเค้าเรื่องละครฝรั่งเศสเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ชองติแคล” ซึ่งได้อ่านเนื้อเรื่องหนังสือพิมพ์อังกฤษเรียกว่า อิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์ แต่เรื่องปักษีปกรณัม ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้เอาแต่เค้าเรื่องละครของฝรั่งเศสไม่ได้แต่งตรงตามเรื่องละครของฝรั่งเศษ เพราะเห็นว่าควรจะต้องแก้ไขให้คนดูในเมืองนี้เป็นที่ชอบใจเป็นสำคัญของการเล่นละคร แต่เรื่องปักษรปกรณัมที่แต่งนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จะได้ตั้งพระไทยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครที่หลบหนีมาเป็นท้องเรื่อง ดังที่กรมหม่อมราชบุรีดำฤทธิ์หาว่าเป็นการหมิ่นประมาทนั้นหามิได้


เมื่อได้ความปฏิเสธของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า คดีเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเรียกบุคคลผู้ใดมาเป็นพยาน เพราะหนังสือที่เกี่ยวแก่คดี เรื่องนี้มีอยู่ทุกอย่าง จึงพร้อมกัน ตรวจหนังสืออันเกี่ยวข้องเป็นหลักฐานควรพิจารณาในคดีเรื่องนี้ ได้ความดังจะกราบทูลต่อไปนี้ คือ

1. ในหนังสือพิมพ์อิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์ ออกเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ (พ.ศ.2452) ส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ประมาณว่า ราววันที่ 12 มีนาคม ร.ศ.128 มีข้อความบอกเนื้อเรื่องละคร ชองติแคลโดยย่ออยู่ในหน้า 235 ว่า ละครเรื่องนี้ตามบทของฝรั่งเศสแบ่งเป็น 4 ตอนๆ ที่ 1 กล่าวว่าไก่ผู้ตัวหนึ่งชื่อชองติแคลเป็นใหญ่อยู่ในฝูงไก่ และสัตว์เลี้ยงที่สวนโรงนาแห่งหนึ่ง ชองติแคลเชื่อว่าตัวมีฤทธิและเกิดมาสำหรับขันเรียกให้พระอาทิตย์ขึ้น อยู่มาวันหนึ่งชองติแคลกำลังอยู่ในฝูงบริวารของตน มีนางไก่ฟ้าตัวหนึ่งถูกสุนัขไล่ หนีเข้ามาอาศัยในฝูงบริวารของชองติแคล ๆ มีใจรักใคร่ประดิพัทธ์ต่อนางไก้ฟ้านั้น ตอนที่สองเล่นเป็นเวลากลางคืนมีพวกสัตว์ซึ่งหากินในเวลากลางคืนคือนกเค้าแมวเป็นต้นประชุมกัน สัตว์พวกนี้เชื่อว่าชองติแคลเป็นผู้ทำให้เกิดแสงสว่างเป็นกลางวัน อันเสียประโยชน์การหาเลี้ยงชีพของตน จึงคบคิดกันจะฆ่าชองติแคล โดยคิดอ่านให้ไก่ชนตัวหนึ่งไปตีชองติแคลเสียให้ตาย ในขณะเมื่อประชุมกันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงชองติแคล แสงอรุณและดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมา พวกสัตว์กลางคืนต่างก็ต้องแยกไปและชองติแคลกับนางไก่ฟ้าก็ออกมา ตอนที่ 3 ไก่ต๊อกตัวหนึ่งมีการประชุมนอตโฮมในสวนโรงนา ในเวลาประชุมนั้น ชองติแคลกับไก่ชนเกิดตีกันขึ้น ชองติแคลเกือบจะตาย แต่บังเอิญลงปลายชนะไก่ชน ในขณะนั้นมีเงาเหยี่ยวบินร่อนมา พวกไก่ทั้งหลายพากันกลัว เหยี่ยววิ่งเข้าอาศัยอยู่ในซุ่มปีกชองติแคลๆ ขันท้าเหยี่ยวหากกลัวไม่ ถึงตอนที่ 4 เป็นเวลากลางคืนชองติแคลพานางไก่ฟ้าออกไปเที่ยวอยู่ในป่า นางไก่ฟ้ามีความริศยาว่าชองติแคลไปหลงในธุระที่จะเรียกแสงสว่าง จึงทำกลอุบายให้ชองติแคลนอนหลับอยู่จนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจึงบอกชองติแคลให้เห็นว่าไปหลงเชื่อว่าตัวมีฤทธิ์เรียกพระอาทิตย์ได้นั้นเปล่าๆ ชองติแคลโกรธจึงทิ้งนางไก่ฟ้าเสีย กลับไปอยู่ที่สวนโรงนาตามเดิม ส่วนนางไก่ฟ้าถูกทิ้งไม่ช้าก็ติดแร้วของนายพราน ถูกจับไปปล่อยไว้ในโรงนา จึงละพยศยอมอยู่ในความปกครองของชองติแคลต่อไป เนื้อเรื่องละครชองติแคลที่ปรากฏในหนังสืออิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์เป็นดังนี้


เรื่องภักตร์หม่อมละครของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่หนีไปนั้น ได้ความตามหนังสือกระทรวงนครบาลกราบบังคมทูล เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ร.ศ.128 ฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ 1 มีใจความว่า ภักตร์ได้อยู่ในวังกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มาตั้งแต่อายุ 13 ปี ได้ฝึกหัดเป็นละคร โตขึ้นได้เป็นหม่อมกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์และได้เล่นละครนฤมิตร อยู่มาจนเดือนพฤศจิกายน ร.ศ.128 เหตุเกิดขึ้นด้วยเรื่องว่ากรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ตบตี ภักตร์มีความโกรธ จึงหนีจากวังกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ร.ศ.128 กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เที่ยวติดตามภักตร์ จนมีพวกเจ้าของบ้าน 18 ราย มีอำแดงพุดมารดาของภักตร์เป็นต้นไป ร้องต่อกระทรวงนครบาลว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์คุมข้าไทยเที่ยวค้นบ้านเรือนของคนเหล่านั้นได้ความเดือดร้อน กระทรวงนครบาลได้บอกคนที่มาร้องทุกข์ให้ไปฟ้องร้องว่ากล่าวยังโรงศาลตามกระบิลเมือง ต่อมาปรากฏว่าภักตร์อาศัยอยู่ฟากข้างโน้น มีผู้บรรดาศักดิ์ได้รับธุระป้องกันภักตร์ คือ เจ้าพระยาภาสกรวงษ์แลเท่านผู้หญิงเปลี่ยน เป็นต้น ครั้นถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน ร.ศ.128 เวลาบ่าย อำแดงพุดพาภักตร์ไปที่โรงพักพลตระเวนวัดบุบผาราม ร้องขออารักขาเพื่อป้องกันอย่างให้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จับกุมไปได้ ภักตร์จะขออยู่โรงพักพลตระเวนจนกว่าจะฟ้องร้องเสร็จคดีกับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่โงศาลกองตระเวน จึงมาแจ้งความต่อเจ้าพระยายมราชๆ ได้สั่งให้กองตะเวนให้ความอารักขาแก่ภักตร์จนกว่าจะได้มีคำสั่งต่อไปประการใด


ครั้น ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน ร.ศ.128 กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เสด็จไปหาเจ้าพระยายมราชที่กระทรวงนครบาล ขออนุญาตที่จะไปพบกับภักตร์ที่โรงพักพลตระเวน เจ้าพระยายมราชได้ทูลว่า ภักตร์นั้นเจ้าพระยายมราชได้สั่งให้ระวังรักษาอย่างหม่อมของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แลตั้งใจเป็นกลางจริงๆ และข้อที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จะขอเสด็จไปพบภักตร์นั้น เจ้าพระยายมราชจะอนุญาตไม่ได้ ที่เจ้าพระยายมราชไม่อนุญาตเช่นนี้ ตามจดหมายที่กราบบังคมทูลชี้แจง เจ้าพระยายมราชเห็นว่าในวันนั้นโทษะกำลังมีด้วยกันทั้งฝ่ายกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์และฝ่ายภักตร์ ถ้าให้ไปพบกันไม่ประนีประนอมกันได้ไปเกิดเหตุวิวาทกันขึ้นในโรงพักพลตระเวนก็จะเป็นที่เสื่อมเสีย จะให้ผู้คนครหานินทาเกรียวกราวมากขึ้น ด้วยเรื่องนี้เจ้าพระยายมราชทราบอยู่ว่ามีผู้ถือท้ายพายหัวข้างภักตร์อยู่มาก ความคิดของเจ้าพระยายมราชคิดจะเกลี้ยกล่อมชวนภักตร์ให้ไปอาศัยอยู่ในบ้านพระพุทธเจ้ากรมหลวงเดชานุภาพหรือวังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ให้พ้นจากโรงพักลาดตระเวนและให้ห่างจากพวกที่ถือท้ายพายหัว จะให้พ้นเป็นความกันเสียชั้นหนึ่งแล้วจะได้ว่ากล่าวเกลี่ยไกล่ให้ทั้งสองฝ่ายตกลงโดยเรียบร้อย เจ้าพระยายมราชได้ทูลความทั้งนี้แก่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ให้ทรงทราบแล้วได้มาหารือข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงดำรงเดชานุภาพและกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ถึงเรื่องที่จะฝากภักตร์ไว้ ก็ยอมรับโดยไม่รังเกียจ แต่ข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงเดชานุภาพเห็นว่า ถ้าไปอยู่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์จะดี เพราะกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม

ครั้นวันที่ 1 ธันวาคม ร.ศ.128 เจ้าพระยายมราชได้ข้ามฝากไปที่โรงพักพลตระเวนบุบผารามเองได้และเรียกภักตร์มาพูดต่อหน้ามารดาและป้าของภักตร์ แนะนำให้กลับไปอยู่คืนดีกับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ โทษทัณฑ์ประการใด เจ้าพระยายมราชรับจะทูลขอมิให้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ทำโทษ ภักตร์ไม่ยอมไปจะขอฟ้องร้องกล่าวให้เด็ดขาด เจ้าพยายมราชจึงว่าที่ภักตร์จะอยู่โรงพักพลตระเวน จะอยู่ได้เพียง 7 วัน 15 วันเป็นอย่างมาก จะรับเอาไว้นานกว่านั้นไม่ได้ ถ้าภักตร์ไม่กลับไปอยู่กับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เจ้าพระยายมราชแนะนำให้เลือกไปอยู่อาศัยในที่สองแห่ง คือ บ้านข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงดำรงราชานุภาพแห่งหนึ่ง หรือวังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์แห่งหนึ่ง ข้างภักตร์และมารดาสมัครไปอยู่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เจ้าพระยายมราชจึงพาตัวไปฝากไว้ที่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์

ต่อนี้มาไม่ปรากฏว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ติดตามว่ากล่าวแต่ประการใด ภักตร์อยู่ที่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์จนราวเดือน มีนาคม ร.ศ.128 แล้วก็ลาไป จะไปอยู่ที่ใดต่อไปก็หาปรากฏไม่ ความปรากฏในเรื่องของภักตร์ดังนี้

บทละครเรื่องปักษีนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งลงพิมพ์ที่ที่โรงพิมพ์ศุภการจำรูญในศก 129 แต่งเป็น 4 ตอน ตอนที่ 1 เรียกว่า ตอนพิศมาตุคาม ตอนที่ 2 เรียกว่า ตอนสงครามนกเค้าแมว ตอนที่ 3 เรียกว่า แกล้วเกินหน้า ตอนที่ 4 เรียกว่า ตอนพิพากษาสมสมัค


ตอนพิศมาตุคามนั้น ใจความว่า มีไก่ใหญ่ตัวหนึ่งชื่อพญาระกาเป็นไก่กล้ามีบริวารอยู่มากในท้องนา เชื่ออำนาจว่าอาจจะเรียกดวงอาทิตย์ให้ขึ้นตามประสงค์ได้ พระยาระกาพาบริวารหากินอยู่ในท้องนา นางไก่ยี่ปุ่นซึ่งเป็นภรรยาพญาระกาตัวหนึ่ง ไม่ได้ความถึงใจจากพญาระกา จึงหลีกฝูงไปเที่ยวหาไก่หนุ่มๆ ไปพบไก่ชนตัวหนึ่งได้ร่วมสมัครสังวาศกับไก่ชนตัวนั้น มีนกเอี้ยงตัวหนึ่งแลเห็นจึงบอกพญาระกาๆ โมโหออกไล่ ไก่ชนและนางไก่ยี่ปุ่นจึงหนีไป นางไก้ยี่ปุ่นหนีไปถึงบึงน้ำขังพบนกกะทุงแก่ตัวหนึ่ง ไปอาศัยอยู่กับนกกะทุง ยายเมียนกกะทุงหึง นกกะทุงเล่าเรื่องราวให้ฟังแล้วจึงรับเอาไว้ ได้มีห่านตัวหนึ่งได้ข่าวว่าพญาระกาโกรธเตรียมทหารจะมาทำร้ายนกกะทุง จึงไปบอกนกกะทุง นกกะทุงจึงพานางไก่ญี่ปุ่นไปฝากไว้ยังรังของพวกเหยี่ยว พญาเหยี่ยวรับป้องกันสรรพไภยให้พ้นพญาระกา และจะไปรักษาสุจริตยุติธรรม แต่กลับพานางไก่ยี่ปุ่นไปฝากพญานกเค้าแมวๆ มีความรักใคร่กระทำชู้แก่นางไก่ญี่ปุ่น จนภรรยานกเค้าแมวหึง ฝ่ายพญาระกาได้ทราบเรื่องนางไก่ญี่ปุ่นไปอยู่กับพญานกเค้าแมว ได้แต่คลุ้มคลั่ง ครั้นจะทำร้านนกกะทุนแล่ห่าน ก็หวาดเสียงและละอายลงปลายต้องเดินเซื่องๆ กลับไปรัง


ตอนสงครามนกเค้าแมว กล่าวถึงไก่ชนเมื่อหนีมาพ้นพญาระกาจึงคิดจะยุยงให้นกพวกหากินกลางคืนกับพวกกบเขียดเข้ากันไปรบพญาระกา จึงไปยุพญานกเค้าแมว ตกลงให้เกลี้ยกล่อมพวกค้างคาวเข้าด้วยอีกพวกหนึ่ง เอาพวกค้างคาวเป็นทัพฟ้า พวกเขียดเป็นทัพเรือ ตอนนี้กล่าวถึงนกยาง ซึ่งอุบายทำตัวเป็นฤาษีรักษาศีล ลอบกินกบเขียดที่เลื่อยล้า จนพวกกบเขียดรู้ เค้าแมว พญาค้างคาว พวกกบเขียดพร้อมกันแล้ว จึงให้ไก่ชนทางยกไป เพื่อจะรบพญาระกา พวกหนูรู้ข่าวรีบไปบอกพญาระกาให้รู้ว่าเขายกมารบ พญาระกาจึงเรียกนกยาง พวกกา พวกนกพร้อมกันมารบพวกนกเค้าแมว พญาระกาขันเรียกพระอาทิตย์แสงอรุณขึ้น พวกนกเค้าแมวก็พากันตามืดหลบหนีไป พวกนกยางกับไก่กาแมวก็ไล่ทำอัตราแก่พวกนกเค้าแมวล้มตายแตกพ่ายไป


ตอนแกล้วเกินหน้า ใจความว่า มีนางเป็ดตัวหนึ่งรักพญาระกาไป ล่อพระยาระกาจนติด พวกนางไก่พากันหึงเกิดวิวาทขึ้นกับนางเป็ด ขณะนั้นมีสุนัขชื่อพญาจอเข้ามาไล่กัดฝูงไก่ตายหลายตัว พญาระกาเสียใจ นางเป็ดเลยยุส่งว่า ทั้งนั้นทั้งนี้ เพราะพวกนางไก่มาก่อการวิวาทขึ้น พญาระกาเชื่อนางเป็ดจึงตีไล่พวกไก่หนีไป นางเป็ดปลอบพญาระกาอย่างเสียใจ จะเป็นแม่สื่อให้ชักนำไก่ฟ้ามาให้ ครั้นไปพบนางไก่ฟ้าในเวลากลางคืน เกี้ยวพานางไก่ฟ้าก็รัก นางไก้ฟ้าว่าพญาจอบิดาไก่ฟ้าได้บอกไว้ว่า พญาระกามีฤทธิ์ขันเรียกพระอาทิตย์ให้ขึ้นได้ ขอเห็นฤทธิ์ก่อน พญาระกาก็ฮึกเหิมขันเรียกพระอาทิตย์จนเหนื่อย พระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้น นางไก่ฟ้าเห็นไม่จริงก็หนี ไปได้นกยูงเป็นสามี พญาระกาได้เห็นนางไก่ฟ้าได้นกยูงเป็นสามีก็เสียใจ นางเป็ดรับอาสาจะหาให้ใหม่ ไปหานางไก่งวง นางไก่ต๊อก มาให้ก็ไม่ชอบใจ จึงกลับมายังฝูงไก่อย่างเดิม มาเห็นไก่ชนเป็นเจ้าของฝูง แลไก่ชนได้แบ่งนางไก่ให้แก่ไก่หนุ่มๆ ฝูงไก่เหล่านั้นไม่ยอมให้พญาระกาเป็นใหญ่ต่อไป พญาระกาเสียใจจึงไปหาพญาแร้ง ด้วยเห็นว่าพญาแร้งทรงศีลธรรมไม่กินสัตว์เป็น


ตอนพิพากษาสมสมัคว่า พญาระกาไปเล่าความทุกข์ร้อนทั้งปวงถวายพญาแร้งๆ จึงให้กากับนกปูดไปเรียกฝูงไก่กับค้างคาว นกเคาแมว หนู นกยาง มาประชุม พญาแร้งสำแดงธรรมพิจารณาพิพากษาตามสัตย์สุจริตไม่ลำเอียง โจทก์จำเลยทุกฝ่ายต่างยินยอมตามคำพญาแร้งจบความเรื่องปักษีปรกณัมเท่านี้


ข้อวินิจฉัยข้อต้นว่า ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ แต่งเรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคามนั้น ได้ตั้งพระทัยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครมาแต่งเป็นโครงความหรือไม่ ข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ตั้งพระทัยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครมาแต่งเป็นโครงความตอนนี้ โดยเหตุผลหลายอย่าง คือ


ข้อ 1 เรื่องชองติแคลนี้ มีขึ้นทีหลังเหตุเรื่องภักตร์หนี เพราะฉะนั้นเรื่องปักษีปกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ต้องแต่งทีหลังเมื่อเกิดเหตุเรื่องภักตร์หนีแล้ว จะเป็นเรื่องที่แต่งไว้แต่เดิม แต่บังเอิญความไปต้องกันเข้ากับเรื่องภักตร์หนีนั้นไม่ได้


ข้อ 2 แม้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ว่า เอาเรื่องชองติแคลเป็นแบบแต่งเรื่องปักษีปกรณัมนี้ เนื้อเรื่อชองติแคลกับเรื่องปักษีปกรณัมเหมือนกันแต่เพียงตัวละครแต่งเป็นสัตว์เดียรฉานกับมีสัตว์เดียรฉานอย่างเดียวกันทั้ง 2 เรื่องอยู่บ้าง นอกจากนี้ความ 2 เรื่องผิดกันมาก กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ก็ได้รับเองว่าได้แก้ไข ไม่ได้เอาเรื่องชองติแคลแท้


ข้อ 3 เมื่อเอาโคลงความเรื่องภักตร์หม่อมละครเป็นเรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคามเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าโคลงความตรงกันทั้ง 2 เรื่อง ข้อนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ชี้แจงว่าการแต่งบทละครหรือหนังสือเรื่องใดๆ ยากที่จะป้องกันความเข้าใจแลถือใจของบุคคลได้ทั่วไป ไม่ว่าเรื่องที่แต่งมาแต่โบราณหรือเรื่องแต่งใหม่ อาจจะมีผู้เห็นว่าใส่ร้ายตนได้ตามความเข้าใจของคนนั้นๆ และเรื่องปักษีปกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้ ก็มีที่ผิดเพี้ยน อันอาจจะแลเห็นได้ว่าไม่ตรงกับเรื่องที่ภักตร์หนีอยู่หลายแห่ง ยกตัวอย่างดังที่ว่าพญานกเค้าแมว มีนางละครระบำในตอนสงครามนกเค้าแมวนั้น กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ก็ไม่มีละเม็งละครแลนางระบำอะไร และไม่ได้ประชุมกับผู้ใด ซึ่งจะตรงกับพวกกบ เขียด ค้างคาว จะว่าแต่งเรื่องนี้เปรียบเทียบกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์อย่างไร การที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์คัดค้านดังนี้ ก็เพื่อประโยชน์ในการแก้คดีของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ แต่ความจริงข้อที่จะเป็นว่าผู้ใดหรือไม่นั้นในหน้าที่ของตุลาการที่จะพิจารณาจะพิเคราะห์ลงเนื้อเห็นต่างหาก ผู้ที่รู้สึกว่าหมิ่นประมาท หามีอำนาจที่จะชี้ขาดโดยลำพังตนไม่ อีกประการหนึ่งที่จะแก้ว่าในหนังสือเรื่องเดียวกัน ถ้าในตอนหนึ่งเรื่องไม่ได้เทียบเรื่องด้วยภักตร์หนีแล้ว ตอนอื่นก็ไม่ได้เทียบด้วยฉะนี้ ไม่เป็นข้อความที่ควรจะฟังได้ แท้จริงในเรื่องที่ภักตร์หม่อมละครหนีนั้นความเคืองแค้นของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่ไม่สามารถจะเอาตัวภักตร์กลับคืนมาไว้ในอำนาจได้ดังพยายาม ก็พอจะแลเห็นกรณีเหตุเจตนาในการแต่งละครตอนพิศมาตุคามอยู่ชั้นหนึ่ง ความในบทละครพิศมาตุคามนั้น แม้ผู้ใดอ่าน ถ้าเป็นผู้ที่รู้เรื่องภักตร์หนี โดยเฉพาะผู้ที่เข้าใจศัพท์ซึ่งใช้แลซึ่งเข้าใจกันอยู่ในมณฑลที่สูงแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่าจะเข้าใจไปอย่างอื่น นอกจากเข้าใจว่าเอาเรื่องภักตร์หนีมาเป็นโคลงไม่ได้เลยทีเดียว


ข้อวินิจฉัยข้อ 2 ว่า หนังสือเรื่องปักษีปรกณัมซึ่งกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้ชื่อมีแต่ชื่อสัตว์เดียรฉานไม่มีชื่อบุคคลจะหมิ่นประมาทบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้หรือไม่ ข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า การที่จะออกชื่อผู้ใดหรือไม่ออกชื่อผู้ใดนั้นไม่สำคัญในความเสียหาย ข้อสำคัญอยู่ในว่า ถ้าความที่กล่าวนั้นเป็นความหมิ่นประมาท และผู้ที่ทราบความนั้น ทราบได้ว่าหมิ่นประมาท ผู้นั้นๆ ก็เป็นการหมิ่นประมาทเหมือนกันออกชื่อเหมือนกัน


ข้อวินิจฉัยข้อ 3 ว่า ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เอาเรื่องภักตร์หนีมาแต่งเป็นเรื่องละครตอนพิศมาตุคามอย่างนี้ เป็นการหมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์หรือไม่


ลักษณะหมิ่นประมาทตามความในประมวลกฎหมายอาญา ส่วนที่ 8 หมวดที่ 3 มาตรา 282 ว่า ผู้ใดใส่ความเอาผู้อื่นซึ่งอาจจะให้เขาเสียชื่อเสียง หรืออาจจะให้คนทั้งหลายดูหมิ่นหรือเกลียดชังเขา ถ้ามันกล่าวต่อหน้าคนแต่ 2 คนไปก็ดี หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่ 2 คนขึ้นไปก็ดี ท่านว่ามันมีความผิดฐานหมิ่นประมาทเขา มันต้องระวางโทษานุโทษเป็น 3 สถาน คือ สถานหนึ่งให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินพันบาท หรือสถานหนึ่งทั้งจำทั้งปรับด้วย โดยกำหนดทีว่ามาแล้ว ถ้าแลมันใส่ความเขาด้วยมันโฆษณาในสมุดหรือหรือหนังสื่อที่มีคราวกำหนดโฆษณาหรือในหนังสือพิมพ์บอกข่าวหรือโฆษณาในแบบอย่าง และในจดหมายอย่างใดๆ โทษของมันผู้กระทำผิดหนักขึ้นทั้งสามสถาน คือ สถานหนึ่งให้จำคุกไม่เกินปีหนึ่ง หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือสถานหนึ่งทั้งจำคุกและปรับด้วย โดยกำหนดที่ว่ามานี้ ดังนี้

เรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคาม เป็นความว่าเปรียบอันเห็นได้ชัดดุจบุคคลเอาวัตถุอันใดซ่อนไว้ในถุงผ้าโปร่งว่าง นางไก่ยี่ปุ่นนั้นหมายถึงตัวภักตร์หม่อมละคร พญาเหยี่ยวหมายตัวว่าเจ้าพยายมราช และพญานกเค้าแมวหมายตัวว่า กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ตามเรื่องที่กล่าวว่า พญานกเค้าแมวรับไก่ยี่ปุ่นไว้แล้ว และกระทำชู้กับนางไก่ญี่ปุ่นนั้น เป็นการใส่ความซึ่งอาจจะให้เสียชื่อเสียง ใช่แต่เท่านั้น ความที่กล่าวถึงพญาเหยี่ยวว่า เป็นเจ้าอุบายมารยาก็เป็นการหมิ่นประมาท เจ้าพระยายมราชด้วยอีกคนหนึ่ง แต่เพราะความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 ว่าการฟ้องร้องเอาโทษแก่ผู้กระทำความผิดหมิ่นประมาทนั้น ท่านให้ถือว่าต่อผู้ที่ได้รับความเสียงหานมาร้องทุกข์ จึงให้เจ้าพนักงานเอาคดีนั้นขึ้นว่ากล่าวดังนี้ ตามจดหมายที่เจ้าพระยายมราชทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นแต่นำความทุกข์ร้อนในส่วนตัวเจ้าพยายมราชด้วยไม่ จึงควรสันนิฐานแต่ในส่วนที่หมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์พระองค์เดียว


ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ลักษณะที่จะเป็นหมิ่นประมาทกล่าวไว้ในกฎหมายว่า ผู้ที่กล่าวต้องกล่าวต่อหน้าบุคคล 2 คนขึ้นไป หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่ 2 คนขึ้นไปอันนับว่าเป็นอย่างโทษเบาประการหนึ่ง ถ้าโฆษณาในสมุดหรือในหนังสือที่มีกำหนดคราวโฆษณา หรือโฆษณาในแบบอย่างและในจดหมายอย่างใดๆ นับว่าเป็นโทษหนักประการหนึ่ง


กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ชี้แจงว่า เรื่องปักษีปรกรัมนี้ไม่ได้บอกแก่ผู้ใด 2 คนพร้อมกัน หรือไม่ได้ส่งหนังสือไปให้แก่ผู้ใดพิมพ์สองคนพร้อมกัน และพิมพ์แล้วก็ไม่ได้จำหน่ายให้แก่ผู้ใดสองคนพร้อมกัน และพิมพ์แล้วก็ไม่ได้จำหน่ายดังอธิบายไว้ในประมวลอาญาราชบุรีดังนี้ หนังสือประมวลอาญาราชบุรีเป็นหนังสือแต่งขึ้นโดยความเห็นเฉพาะพระองค์กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ไม่ใช่ตัวบทกฎหมาย แม้จะว่าประการใด ข้าพระพุทธเจ้าหาได้เอามาเป็นหลักในทางวินิจฉัยในคดีเรื่องนี้ไม่ เพราะตัวบทกฎหมาย มาตรา 282 มีอยู่ชัดว่า ถ้ากล่าวต่อหน้าคนแต่สองคนขึ้นไปก็ดี หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่สองคนขึ้นไปก็ดี กฎหมายว่าเป็นฐานหมิ่นประมาทความที่กล่าวแก่บุคคลนับแต่สองคนขึ้นไปนี้ หมายความชัดเจนว่า แม้กล่าวแก่แต่ทีละคน ถ้าจำนวนที่ได้ฟังแต่สองคนขึ้นไป เป็นฐานหมิ่นประมาท มรส่วนโฆษณานั้น คำว่า โฆษณานี้คนมักเข้าใจว่าต่อประกาศแผ่เผยดังพิมพ์หนังสือขายหรือเขียนประกาศปิดให้ใครๆ รู้ได้ทั่วไปจึงจะเป็นโฆษณาแต่คำว่าโฆษณาในกฎหมายมาตรานี้ ไม่ได้หมายความเช่นนั้นและไม่ได้หมายเฉพาะแต่ต้องพิมพ์ เพราะกฎหมายในมาตรานี้ได้กล่าวความจำแนกไว้ชัดว่า โฆษณาในหนังสือพิมพ์อย่างนั้นๆ ก็ดีในแบบอย่างก็ดี ในจดหมายอย่างใดๆ ก็ดี เพราะฉะนั้นแม้แต่เขียนจดหมาย อันเป็นความหมิ่นประมาทด้วยลายมือ ส่งไปให้ผู้อื่นได้อ่านรู้ความจดหมายนั้นแต่สองคนขึ้นไป ต้องเป็นโฆษณาตามความในกฎหมายมาตรานี้ ไม่จำจะต้องรอไว้จนถึงหนังสือนั้นได้ออกจำหน่ายจึงจะเป็นโฆษณา การที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ส่งหนังสือเรื่องปักษีปรกณัมไปให้โรงพิมพ์ตีพิมพ์นั้น พออยู่แล้วที่จะถือว่าเป็นจดหมาย และในการพิมพ์ต้องมีผู้ได้รู้เห็นอ่านกว่าสองคนขึ้นไป ใช่แต่เท่านั้นยังมีความปรากฏว่าหนังสือเรื่องนี้ได้มีผู้อื่นได้ไปอ่านอีกถึงกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แก้ว่า เจ้าของโรงพิมพ์หากให้ไปโดยกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ไม่ได้อนุญาต เหมือนอย่างผู้ร้ายลักไป ถ้าจะยอมข้อความอย่างที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แก้นี้เป็นข้อแก้ตัวก็จะต้องยอมถึงหากว่าผู้ใดๆ เขียนข้อความอันเป็นข้อหมิ่นประมาทแล้วเที่ยงจงใจหรือละเลยวางทิ้งไว้ มีผู้อื่นไปพบเห็นรู้ความโดยผู้เขียนไม่ได้อนุญาต จะไม่เป็นหมิ่นประมาทด้วยความผิดที่สำคัญอย่ในชั้นที่กล่าวหรือเขียนคำอันหมิ่นประมาทผู้อื่น ถ้าผู้ที่ไม้อยากปิดแล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าว หรือไม่ควรจะเขียนทีเดียว ถ้าได้กล่าวหรือได้เขียนไปแล้วความผิดๆ กันแต่เพียงมากและน้อยหาเป็นเหตุที่จะลบล้างเพราะผู้อื่นรู้โดยได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับอนุญาตไม่ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยโฆษณาด้วยจดหมาย


ในกฎหมายอาญา มาตรา 183 ในหมวด 3 มีข้อยกเว้นไม่เอาโทษแก่ผู้แสดงความคิดเห็นของตน ซึ่งคิดเห็นโดยสุจริตในลักษณะต่างๆ 4 ประการ คือ


1. ในการที่จะแสดงความชอบธรรมของตน หรือในการที่จะต้องต่อสู้ป้องกันตนหรือในการป้องกันประโยชน์ อันชอบด้วยกฎหมายประการหนึ่ง


2. เจ้าพนักงานกล่าวความในรายงานตามตำแหน่งหน้าที่ของตนประการ 1


3. การที่กล่าวสรรเสริญและติเตียนบุคคลหรือสิ่งใดๆ โดยสุภาพ อันเป็นวิสัยธรรมดาสาธารณชนย่อมกล่าวกันประการหนึ่ง


4. การที่โฆษณาหรือกล่าวถึงการที่ดำเนินอยู่ในโรงศาลใดๆ หรือในที่ประชุมใดๆ และกล่าวแต่โดยสุภาพประการหนึ่ง


ลักษณะที่แสดงความคิดเห็น 4 ประการนี้ กฎหมายว่า ไม่มีโทษฐานหมิ่นประมาท


กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้แก้คดีเรื่องนี้ว่า ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะเอาเรื่องภักตร์หนีมาแต่เป็นโคลงบทละครเรื่องปักษีปกรณัม เป็นการปฏิเสธข้อหาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่เข้าในข้อยกเว้นประการใดในกฎหมายมาตรานี้


ฐานโทษการหมิ่นประมาทด้วยการเขียนจดหมาย ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 มีโทษสามสถาน คือ สถานที่หนึ่งให้จำคุกไม่เกินปรับหนึ่ง หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือสถานหนึ่งให้จำคุกและปรับด้วยโดยกำหนดที่ว่ามาทั้งสองสถานกฎหมายว่าได้ดังนี้ทางพิจารณาเรื่องนี้ได้ความว่า เจ้าพระยายมราชเป็นผู้ขอร้องให้กรมหมื่นราชบุริดิเรกฤทธิ์ช่วยรับภักตร์ไว้ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้ให้อารักขาแก้ภักตร์โดยถือว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่ราชการ เพื่อจะป้องกันความเสียหาย อันอาจจะเกิดขึ้นแม้แก่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เอง กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์กลับหมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ด้วยแกล้งแต่งบทละครใส่ความให้เสียพระนามและเกียรติยศดังนี้ เป็นความผิดหนักอีกชั้นหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นด้วยเกล่าฯ พร้อมกันว่ากรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ควรรับพระราชอาญาจำขังไว้มีกำหนดปีหนึ่งตามกฎหมาย ส่วนหนังสือ ปักษีปกรณัม ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่ง ซึ่งเป็นต้นฉบับก็ดี หรือที่โรงพิมพ์ก็ดี ควรให้เผาไฟเสียให้สิ้นเชิง ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันดังนี้


ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ


กรมขุนสรรพสิทธิ์


เทววงษ์วโรปการ


ดำรงราชานุภาพ


ณ วันที่ 6 มิถุนายน รัตนโกสินทร์ศก 129

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ศาลหลักเมืองอุดรธานี








ศาลหลักเมืองอุดรธานี ตั้งอยู่บริเวณทุ่งศรีเมืองนะครับศาลหลักเมืองเป็นสถานที่ที่ผู้คนจะมาสักการะบูชานอกจากศาลหลักเมืองแล้ว ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บริเวณนั้นด้วย นั่นคือหลวงพ่อพระพุทธโพธิ์ทอง และ ท้าวเวสสุวัณด้วยครับ
ประวัติศาลหลักเมืองอุดรธานี
จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองเก่าแก่ในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นดินแดนอารยธรรมของมนุษยชาติ แห่งมรดกโลกบ้านเชียง หลักฐานทางโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ณ บริเวณบ้านเชียงมรดกโลก มีความเก่าแก่อายุประมาณ ๕,๐๐๐-๗,๐๐๐ ปี และจากแหล่งโบราณสถาน บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ ภูพระบาท ซึ่งปรากฏภาพเขียนสีของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ๔,๐๐๐ปี ส่วนประวัติศาสตร์ การสร้างบ้านแปลงเมืองจากบ้านเดื่อหมากแข้งและพัฒนามาเป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน เริ่มต้นจาก ร.ศ. ๑๑๒ ในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ ในช่วงที่ประเทศสยามถูกคุกคามจากต่างชาติ ต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและสนธิสัญญาที่ถูกบังคับจากต่างชาติ จึงมีความจำเป็นที่ต้องวางระเบียบแบบแผนในการจัดหัวเมืองชายแดนให้สงบเรียบร้อยหลังจากสงครามปราบฮ่อ พระเจ้าน้องยาเธอ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระผู้เป็นกำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งนั้น ได้ทรงพิจารณาเคลื่อนกองกำลังทหารและพลเรือนย้าย มาจากเมืองหนองคาย มาไว้ ณ บ้านเดื่อหมากแข้ง เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๔๓๖
ศาลหลักเมืองประจำจังหวัดอุดรธานี ถือเป็นสถานที่สำคัญในการดำรงและสืบสันติสุขของประชาราษฎร์จังหวัดอุดรธานี ศาลหลักเมืองเดิมได้รับความร่วมมือจากข้าราชการ พ่อค้าประชาชนในสมัย นายจินต์ รักการดี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ทำการวางศิลาฤกษ์เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ในช่วง ๓๙ ปีที่ผ่านมาศาลหลักเมืองเดิมได้มีสภาพชำรุดทรุดโทรมตลอดจนที่ตั้งภูมิทัศน์โดยรอบ ไม่เรียบร้อยเป็นศรีสง่าแก่สภาพบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ประกอบกับได้ตรวจสอบกับ กรมศิลปากร ไม่ปรากฏพระราชกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เกี่ยวกับศาลหลักเมืองอุดรธานีเลย จึงไม่ทราบได้ว่ามีการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือไม่ ประการใด และจากการปรึกษาหารือของ คณะพ่อค้า คหบดี ประชาชนชาวจังหวัดอุดรธานีได้มีความเห็นว่า ควรที่จะปรับปรุงหรือก่อสร้างศาลหลักเมืองใหม่ เพื่อความสง่างาม และวัฒนาถาวรเนื่องจากเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ประจำจังหวัดอุดรธานี จึงได้นำเรื่องเข้าปรึกษากับผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นคือ นายดำรง รัตนพานิช ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบ และแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาหาข้อมูลในการก่อสร้าง ต่อมาในปี ๒๕๓๘ นายดำรง รัตนพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ร่วมกับทางราชการ พ่อค้า คหบดี และประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อสร้างศาลหลักเมืองประจำจังหวัดอุดรธานี สำนักพระราชวังได้มีหนังสือแจ้งจังหวัดอุดรธานี ในการที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาต เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๘ สถาปนิกผู้ออกแบบสร้างศาลหลักเมืองใหม่ คือ ศิลปินแห่งชาติ ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรีโดยมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานของไทยอีสาน มีลักษณะสวยงามมาก ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ นายวิชัย ทัศนเศรษฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้อำนวยการก่อสร้าง จนแล้วเสร็จสมดังเจตนารมย์ของส่วนรวมโดยได้อัญเชิญ องค์ท้าวเวสสุวัณ อันเป็นสัญญลักษณ์ ของเมืองอุดรธานีมาประดิษฐานเคียงคู่กับอาสน์ศาลหลักเมืองใหม่ พร้อมกันอีกโสตหนึ่งด้วย นอกจากนี้โครงการสร้างศาลหลักเมืองประจำจังหวัดอุดรธานี ยังเป็นโครงการที่รัฐบาลให้เป็น โครงการเฉลิมพระเกียรติ โครงการหนึ่งในวาระสมัยอันเป็นมงคลที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๒ ซึ่งชาวจังหวัดอุดรธานีได้มีจิตสมานฉันท์น้อมเกล้าฯน้อมกระหม่อมฯ สร้างศาลหลักเมืองถวาย เพื่อเป็นมิ่งมงคลแห่งพสกนิกรชาวจังหวัดอุดรธานี ในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯโปรดกระหม่อมฯให้นายวิชัย ทัศนเศรษฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยคณะกรรมการดำเนินการสร้างศาลหลักเมือง จำนวน ๓๙ คนเข้าเฝ้า น้อมเกล้าฯ น้อมกระหม่อมฯ ถวายยอดเสาหลักเมือง เพื่อทรงพระสุหร่าย และทรงเจิม ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต หลังจากนั้นได้กราบอาราธนาสมเด็จพระพุฒาจารย์ ทรงอัญเชิญ ยอดเสาหลักเมืองขึ้นประดิษฐานเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ นับว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯโปรดกระหม่อมฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาทรงเปิดศาลหลักเมืองประจำจังหวัดอุดรธานี ในวันศุกร์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๒ปวงประชาพสกนิกรชาวจังหวัดอุดรธานี มีจิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น พร้อมกับปลื้ม ปิติโสมนัส ได้มีศาลหลักเมืองประจำจังหวัดอุดรธานี อันเป็นสถานที่มหามงคล เป็นศูนย์รวมจิตใจ คุณธรรมความดี และความรุ่งโรจน์สถาพร ของจังหวัดอุดรธานี และประเทศชาติ อันเป็นส่วนรวมสืบไปชั่วกาลปวสาน

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม









ยังอยู่ในอำเภอเมืองนะครับ ที่นี่แดดร้อนตับแลบเลยครับ ขอแวะไปหลบแดดในสวนสาธารณะก่อนนะครับ


สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม


หนองประจักษ์ มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี จากเดิมชื่อ " หนองนาเกลือ " เพื่อเป็นเกียรติประวัติแด่ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้สร้างเมืองอุดรธานี จึงเปลี่ยนชื่อเป็น " หนองประจักษ์ " สร้างคุณประโยชน์นานับประการแก่ชาวเมืองอุดรธานี ได้ช่วยเหลือเป็นแหล่งน้ำอุปโภค บริโภค และการเพาะพันธุ์ปลา มีการปรับปรุงขุดลอกและกักเก็บน้ำมาตั้งแต่ เดือนตุลาคม ๒๔๙๖ โดย ขุนศุภกิจวิเลขการ ข้าหลวงประจำจังหวัดอุดรธานี ได้ขอให้กรมชลประทานเป็นผู้ดำเนินการขุดลอกให้ลึก ต่อมาหนองประจักษ์ ขาดการ ปรับปรุงดูแล ทำให้สภาพหนองประจักษ์ตื้นเขิน หนองน้ำต้องประสบต่อวัชพืช สาหร่าย จอกแหน ทรุดโทรมขาดความสวยงามเรื่อยมา ในปี ๒๕๓๐ เทศบาลเมืองอุดรธานี โดยนายฤทธิรงค์ กาญจนแก้ว นายกเทศมนตรี เห็นว่าหนองประจักษ์ หนองน้ำคู่บ้านคู่เมือง มีชื่อ เสียงเป็นที่รู้จัก เป็นสมบัติของขาวเมืองอุดรธานี สมควรให้มีการปรับปรุงพัฒนาเพื่อเป็นศักดิ์ศรี สร้างความร่มรื่นสวยงาม เป็นศรีสง่าแก่ เมืองอุดรธานี จึงได้ทำการปรับปรุงหนองประจักษ์ขึ้นใหม่ทั้งหมด ในเดือนมกราคม ๒๕๓๐ วัตถุประสงค์สำคัญสูงสุด เพื่อสร้างถวายเป็น ราชสักการะ แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช มิ่งขวัญปวงชนชาวไทย เนื่องในวโรกาสเป็นปีที่พระองค์ ทรงเจริญพระชนม์พรรษา ๕ รอบ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ เพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นศักดิ์ศรีของชาวเมืองอุดรธานี จึงกราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี มาเป็นประธานประกอบพิธีเปิดสวนสาธารณะหนองประจักษ์ เพื่อปวงชนชาวเมืองอุดรธานี จะได้ปลาบปลื้ม ปิติยินดี และจารึกไว้ตลอดกาล ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ เมื่อทำการปรับปรุงทั้งหมดแล้ว หนองประจักษ์จะมีพื้นที่ ทั้งหมด ๓๒๘ ไร่ เป็นพื้นเกาะประมาณ ๖๘ ไร่ พื้นน้ำประมาณ ๒๔๗ ไร่ คันคูและลานพักโดยรอบประมาณ ๑๓ ไร่ ความลึกสูงสุดประมาณ ๔.๐๐ เมตร ความจุน้ำในอ่างประมาณ ๑.๒ ล้านลูกบาศก์เมตร

พักผ่อนกันสักครู่นะครับ หายเหนื่อยแล้วผมจะพาไปเที่ยวที่อื่นต่อครับ

อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม




เป็นอนุสาวรีย์ที่มีความสำคัญมากสำหรับชาวจังหวัดอุดรธานีนะครับ เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเมืองอุดรขึ้นเมื่อ ร.ศ 112 ทรงจัดวาง ระเบียบ ราชการปกครองบ้านเมืองและรับราชการ ในหน้าที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งอำนวย ประโยชน์สุขแก่ราษฎรนานับประการ อนุสาวรีย์พระองค์ท่าน จังนับ เป็นเกียรติ ประ วัติสูงสุดของชาวจังหวัดอุดรธานี ตราบเท่าทุกวันนี้
สำหรับประวัติของท่านนะครับ
พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม (๕ เมษายน ๒๓๙๙ - ๒๕ มกราคม ๒๔๖๗) พระนามเดิม พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาสังวาลย์ ธิดานายศัลยวิชัย (ทองคำ ณ ราชสีมา) ทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอองค์ที่ ๒๕ ในรัชกาลที่ ๔ ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันเสาร์ เดือน ๕ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๑๘ ตรงกับวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๙ เมื่อสมโภชเดือนแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ เพราะในวันประสูติมีผู้นำทองคำก้อนใหญ่ ซึ่งขุดได้ที่ตำบลบางสะพานในเวลานั้นได้เข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงถือว่าเป็นศุภนิมิตมงคลสำหรับพระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้

พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ทรงมีพระอนุชา พระขนิษฐาในเจ้าจอมมารดาเดียวกันอีก ๓ พระองค์คือ

พระองค์เจ้าชายทองแถมถวัลยวงศ์ (ภายหลังได้รับสถาปนาเป็นกรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ต้นสกุล ทองแถม )

พระองค์เจ้าชายเจริญรุ่งราษี

พระองค์เจ้าหญิงกาญจนากร

พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ทรงเริ่มการศึกษาวิชาอักษรไทย และบาลี กับพระองค์เจ้ากฤษณา หม่อมเจ้าหญิงจอ และพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) และทรงศึกษาภาษาต่างประเทศกับ นางเลียวโนเว็น และ นายแป็ตเตอสัน จนสามารถตรัส และเขียนภาษาอังกฤษได้ดี
ทรงผนวชเป็นสามเณรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๑ และเสด็จไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ และประทับที่วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม และได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับสมเด็จพระสังฆราช (สา) เมื่อลาสิกขาแล้วทรงศึกษาวิชากฎหมายจากขุนหลวงไกรศรี (หนู) แล้วเข้ารับราชการเป็นนักเรียนศาลฎีกาในสมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ เป็นอธิบดีศาลฎีกา
เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๘ ได้เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ขึ้นในประเทศไทย "ท่านทอง" พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ได้ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะนักดาราศาสตร์อังกฤษได้ตั้งค่ายสังเกตสุริยุปราคาที่แหลมเจ้าลาย จังหวัดเพชรบุรี นักดาราศาสตร์เหล่านี้ไม่สามารถถ่ายภาพสุริยุปราคาไว้ได้ คงมีแต่ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ และถูกบันทึกอยู่ในตำราดาราศาสตร์ ในนามของ Prince Tong
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ เป็นกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงเป็นกำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการรักษาดินแดนไทยทางภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ในกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส ครั้งวิกฤต ร.ศ. ๑๑๒ ทรงเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ปราบปรามกบฏจีนฮ่อในมณฑลลาวพวนจนสงบราบคาบ
ในเวลาต่อมา ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้ทรงตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่ บ้านหมากแข้ง ทรงสร้างความเจริญ จากหมู่บ้านชนบทจนเป็นเมืองอุดร และต่อมาได้ยกฐานะเป็นจังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ
ภายหลังเกิดคดีพญาระกาขึ้นในปี พ.ศ. 2452 - พ.ศ. 2453 ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงกระทำปัพพาชนียกรรม ขับกรมหลวงประจักษ์ฯและพระโอรส-ธิดาออกจากพระราชสำนัก พระองค์เองทรงถูกห้ามมิให้เข้าเฝ้าในที่รโหฐาน ให้เฝ้าได้แต่ในท้องพระโรงหรือในที่มีผู้เฝ้าอยู่มากเท่านั้น ห้ามหม่อมเจ้าไศลทองโดยเฉพาะมิให้เข้าในเขตพระราชฐาน และห้ามหม่อมเจ้าหญิงชายอื่นๆในกรมหลวงประจักษ์ฯมิให้ขึ้นสู่พระราชมณเฑียร ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2453 เป็นต้นมาจนตลอดรัชกาลก็มิได้พ้นพระราชอาญาจนในหลวงรัชกาลที่ 5 สวรรคต
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม สิ้นพระชมน์ ณ วังตรอกสาเก เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ จากโรคอันตะ (ไส้ใหญ่ ) พิการ สิริพระชันษาได้ ๖๘ พรรษา ทรงเป็นต้นราชสกุล ทองใหญ่
การเดินทาง
หากขับรถเข้าไปตัวเมืองอุดร จากทางหลวงหมายเลขสอง เลี้ยวเข้าถนนอธิบดี ขับรถตรงไปก็จะพบอนุสาวรีย์

ดอกไม้ประจำจังหวัดอุดรธานี



ยอมโดนเตะสักร้อยครั้งครับ มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงของผมที่เสนอข้อมูลผิดพลาด ต้องขอโทษอย่างแรง ในตอนแรกผมเข้าใจว่าดอกไม้ประจำจังหวัดอุดรธานีคือดอก "อุดรซันไฌน์" ซึ่งมันไม่ใช่ครับ ดอกไม้ประจำจังหวัดอุดรธานีที่แท้จริงแล้วคือ "ดอกทองกวาว" หรือ "ดอกจาน" ครับหน้าตาก็อย่างที่เห็นด้านบนนั่นหล่ะครับ
“ดอกทองกวาว” หรือดอกจาน ตามภาษาอีสาน มีดอกสีแสดสวยงามมาก จะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งมีความหมายหลายประการ คือพระนามเดิมของพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมผู้สร้างเมืองอุดรธานีนั้น มีพระนามว่า "พระองค์เจ้าทองกอง ก้อนใหญ่" ต้นราชกุล "ทองใหญ่" และเป็นเวลาที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เคลื่อนทัพจากริมฝั่งโขงมาตั้งบ้านเมืองที่บ้านหมากแข้ง หรือเมืองอุดรธานีในปัจจุบัน

ชื่อดอกไม้
ดอกทองกวาว,ดอกจานเหลือง
ชื่อสามัญ
Flame of the forest, Bastard Teak, Bengal kinotree, Kino tree
ชื่อวิทยาศาสตร์
Butea monosperma
วงศ์
LEGUMINOSAE
ชื่ออื่น
กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ), จอมทอง (ภาคใต้), จ้า (เขมร), ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ ทองต้น (ภาคกลาง), ดอกจาน (อิสาน)
ลักษณะทั่วไป
ทองกวาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูงประมาณ 10–15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปทรงไม่แน่นอน ส่วนใหญ่จะกลม หรือเป็นทรงกระบอก ใบประกอบมี 3 ใบ ขนาดไม่เท่ากัน ใบหนาและมีขน ใต้ใบสีเขียวอมเทา ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง คล้ายดอกถั่ว สีแสดแดงหรือเหลือง มีขน ออกดอก เดือนธันวาคม–มีนาคม ผลเป็นฝักแบน มีขนนุ่ม เมล็ด 1 เมล็ดอยู่ที่ปลายฝัก
การขยายพันธุ์
การเพาะเมล็ด
สภาพที่เหมาะสม
ดินร่วนซุย แสงแดดจัด
ถิ่นกำเนิด
อินเดีย
update ข้อมูลเรียบร้อยแล้วนะครับ ขออภัยในความผิดพลาดอีกครั้งครับ

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มาเที่ยวอุดรฯกันเถอะ

















อันดับแรกก็ต้องเริ่มจากบ้านผมก่อนครับ แล้วค่อยไปที่ไกลกว่านี้ ผมอยู่ ต.หนองเม็ก อ.หนองหาน ตรงปากทางเข้าอ.บ้านเชียง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "มรดกโลก บ้านเชียง" ต้องโปรโมทกันหน่อย อิ อิ
เส้นทางมายัง บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ออกจากอุดรธานีไปตามเส้นทางหมายเลข 22 ไปทางทิศตะวันออกตามเส้นเส้นทางสกลนคร ผ่านอำเภอหนองหาร บ้านหนองเม็ก ด้านซ้ายมือ ไปยังบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีก็คือแหล่งโบราณคดีสำคัญที่ให้ความรู้ เกี่ยวกับพัฒนาการของสังคม และวัฒนธรรมสมัยโบราณเมื่อหลายพันปีมาแล้วในประเทศไทย สิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังบ้านเชียงก็คือ เรื่องราวอันเกี่ยวกับอดีตของพื้นที่หมู่บ้านนี้ โดยเฉพาะเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการจัดแสดงไว้เป็นพิพิธภัณฑสถาน 2 แห่ง ในหมู่บ้านนี้ คือ พิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง และพิพิธภัณฑสถานกลางแจ้งที่วัดโพธิ์ศรีใน พ.ศ.2360 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้เกิดสถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองในราชอาณาจักรลาว ชาวพวนกลุ่มหนึ่งจากแขวงเชียงขวางจึงได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งหลักปักฐานอยู่ในผืนป่าที่เป็นเนินสูงน้ำท่วมไม่ถึงในฤดูฝน บริเวณรอบๆ เป็นที่ลุ่มเหมาะแก่การทำนา และมีแหล่งน้ำสำหรับกินใช้อย่างสมบูรณ์ตลอดมา พร้อมตั้งชื่อเรียกว่า “บ้านเชียง” ตั้งแต่นั้นมาแต่เมื่อประมาณ พ.ศ.2515 ที่ผ่านมา ได้เริ่มมีการสังเกตพบโบราณวัตถุและหลักฐานทางโบราณคดีในพื้นที่เนินของหมู่บ้านและส่งผลให้มีการศึกษาทางโบราณคดี จนได้ทราบว่าความจริงแล้วพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของบ้านเชียงปัจจุบัน เคยมีคนตั้งถิ่นฐานมาแล้วก่อนประวัติศาสตร์เมื่อพันๆ ปีก่อนจะมีการสร้างหมู่บ้านในปัจจุบันโบราณวัตถุที่พบ ได้แก่ เศษภาชนะดินเผาที่มีการตกแต่งเขียนเป็นลายสีแดง โครงกระดูก เครื่องมือที่ทำด้วยหินและสำริด โบราณวัตถุที่ทำด้วยหิน สำริด และเหล็ก โดยเฉพาะภาชนะดินเผาเขียนเป็นลายสีแดงนั้นเป็นโบราณวัตถุที่มีลักษณะเด่นมากเนื่องจากเพิ่งมีการพบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นักโบราณคดีทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ความยอมรับว่าแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเป็นร่องรอยทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ซึ่งสามารถให้ความรู้อย่างมากในเรื่องการปรับตัวเองของมนุษย์ในสมัยอดีตเมื่อนับพันๆ มาแล้วให้สอดคล้องกับระบบสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมของตน อันเป็นระบบที่มีพลวัตหรือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พ.ศ.2535 คณะกรรมการมรดกโลกจึงขึ้นทะเบียนแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย(เป็นมรดกโลกลำดับที่ 4 จากทั้งหมด 5 แห่งในเมืองไทย) จากการสำรวจโบราณคดีในภาคอีสานตอนบนทั้งหมด พบว่าบ้านเชียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และสามารถขึ้นเป็นมรดกโลกได้ หลังจาก พ.ศ. 2535 ที่บ้านเชียงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเป็นต้นมา มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมบ้านเชียงเป็นอย่างมาก จากนั้นพอถึง พ.ศ. 2539-2540 เริ่มมีโครงการขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ ก็ได้เข้ามาช่วยในเรื่องการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่วัดโพธิ์ศรีใน แล้วก็ปรับปรุงพวกภูมิทัศน์ต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ ช่วยในการปรับปรุงการจัดแสดงใหม่ซึ่งการปรับปรุงการจัดแสดงใหม่นั้นมาแล้วเสร็จใน พ.ศ.2550 ที่ผ่านมา เราได้พัฒนาหลายๆ ส่วนขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์มากขึ้น และในขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวก็จะได้เห็นภาพโบราณวัตถุต่างๆในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด บางส่วนที่เก่าทางพิพิธภัณฑ์ก็จะมีการปรับปรุงขึ้นมาใหม่โดยการทำด้วยวิธีการเก่า บ้านเชียงนั้นเด่นในเรื่องการเป็นยุคสำริดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่มียุคสำริดที่เก่าแก่ที่สุด เป็นแหล่งที่มีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นแหล่งเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเองที่โดดเด่นและหาได้ยาก ในปี 2539 จำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 2 แสนคน จำนวนนักท่องเที่ยวมาลดลงในช่วงท้ายที่เทศกาลโทรมหมดแล้วเราก็เลยต้องเริ่มปรับปรุงใหม่ ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่มีการปรับปรุงเราจะสร้างพื้นฐานในการรับนักท่องเที่ยวอย่างเช่น ห้องน้ำ ให้เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว ปรับปรุงแหล่งที่เคยขุดค้นมาก่อน ปรับปรุงอาคารและนำวัตถุโบราณที่จำลองไว้มาแสดง สำหรับของจริงบางส่วนเราก็นำไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ด้วย ทั้งหมดในส่วนของพิพิธภัณฑ์และกลางแจ้งเป็นของที่ค้นพบเจอที่บ้านเชียงทั้งหมด ในบริเวณที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมบ้านเชียงซึ่งมี 100 กว่าแหล่ง ของที่ได้จากแหล่งวัฒนธรรมทั้งหมดเปิดให้เข้าชมยกเว้นนิทรรศการใหม่ซึ่งสามารถเข้าชมได้เพียงบางส่วน รอพิธีเปิดปลายปี อีกไม่นานก็จะเสร็จเรียบร้อยและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ซึ่งจุดประสงค์ของการจัดนิทรรศการใหม่เพื่อให้มีคนเข้าใจพื้นฐานและความสำคัญของบ้านเชียง เห็นคุณค่าสำคัญของการอนุรักษ์ปัจจุบันก็ยังมีการขุดค้นหา อยากจะเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมจะได้ทราบอะไรหลายๆ อย่าง และรับรู้ถึงบทบาทของบ้านเชียงในระดับภูมิภาค นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังไม่ทราบอะไรเลยเกี่ยวกับบ้านเชียง ทำให้รู้เรื่องราวและรู้สึกซาบซึ้งความเป็นมาของอารยธรรมบนผืนแผ่นดินไทยได้ดีมากขึ้นพร้อมที่จะมีส่วนในการเก็บรักษา และก็เพิ่มคุณค่าให้อยู่นานเท่านาน และก็ทำให้คนไทยมีความรักในประเทศไทยมากขึ้นเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์อย่างแท้จริง นักท่องเที่ยวที่มาก็จะได้รับความรู้ตรงนี้และไม่น่าจะเหมือนที่อื่นในประเทศเพราะว่าการจัดแสดงของที่นี่แตกต่างจากการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ทั่วไปในประเทศ เพราะว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงในเรื่องของการดำเนินงานตามโบราณคดีซึ่งพิพิธภัณฑ์ไม่มีการจัดแสดงตรงนี้เขาจะมีเอกลักษณ์ในด้านอื่น และเราก็เป็นมรดกโลกแห่งเดียวในภาคอีสาน อยากให้ทุกคนได้เข้ามาดูมรดกโลกของคนภาคอีสานว่ามีความเป็นมาอย่างไร

เคยมีคนบอกว่า ทำทัวร์ให้คนไทยง่ายมาก แต่จะขายประวัติศาสตร์ไม่ได้ เพราะคนไทยนิสัยลืมง่าย ขอแค่ได้ไปชะโงกทัวร์หลายๆที่ มีอาหารการกินดีๆ นอนหรูๆ มีที่ช็อปปิ้งก็พอแล้ว ไม่เถียงและยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง อาจเป็นเพราะเราขาดการอมรมบ่มเพาะให้รู้จักการศึกษาค้นคว้า โดยเฉพาะการค้นหารากเหง้าของตัวเอง ทั้งที่เราเป็นชนชาติที่มีอารยธรรมมานานนับพันปี แต่กลับไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องของอดีตกาลมาก
ราว 40 ปีก่อน นักศึกษาชาวอเมริกันคนหนึ่ง ได้มาใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านเชียง อ.หนองหาน จ. อุดรธานี วันหนึ่งเขาออกเดินเล่น แล้วเกิดสะดุดรากไม้จนหน้าคะมำล้มลงไปจ๊ะเอ๋กับเศษภาชนะดินเผาลายเขียนสีแปลกตา ด้วยความสงสัย หนุ่มมะกันนายนั้นเลยเก็บตัวอย่างเศษภาชนะดินเผาที่พบตกหล่นกลาดเกลื่อนตามพื้นดินทั่วหมู่บ้าน ส่งไปตรวจพิสูจน์ ที่กรุงเทพฯ และแล้ว...อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติเมื่อ 5 พันปีก่อน ที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นพิภพมานับพันปี จึงได้โผล่มาอวดสายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก “ภาชนะดินเผาเขียนลายก้นหอยสีแดง” กลายเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นที่ส่งให้ชื่อของบ้านเชียงเป็นที่รู้จักไปทั่วสารทิศในฐานะแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ แห่งแรกในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งมีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมที่ยาวนานที่สุด
จากปั้นหม้อปั้นไหด้วยดินเหนียว พัฒนามาทำเครื่องมือเครื่องใช้สำริดและเหล็ก แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการครั้งสำคัญทางเทคโนโลยีระดับท้องถิ่นของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนองค์การยูเนสโกต้องจารึกชื่อบ้านเชียงไว้ในทะเบียนมรดกโลกทางอารยธรรม เมื่อเดือนธันวาคม 2535 แต่เชื่อหรือไม่ ยังมีคนไทยไม่น้อยที่ไม่รู้จักว่าบ้านเชียงอยู่ที่ไหนและมีความสำคัญอย่างไร ทั้งที่ในความ เป็นจริง ใต้พื้นดินแทบทุกตารางนิ้วของบ้านเชียงยังคงมีโครงกระดูก ของบรรพบุรุษอีกจำนวนมากนอนทอดร่างรอให้อนุชนรุ่นหลังมาขุดค้นขึ้นไปศึกษาเรียนรู้ วิถีชีวิต และสภาพความเป็นอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์
วันเวลาผ่านมาเนิ่นนาน แต่กลิ่นอายความอลังการแห่งบ้านเชียงยังได้รับการพิทักษ์รักษาไว้ อย่างดีใน “พิพิธภัณฑ์บ้านเชียง” ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในนั้น คล้ายกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนคืนสู่อดีตที่ยังมีลมหายใจ โบราณวัตถุล้ำค่าจากฝีมือและหยาดเหงื่อคนรุ่นก่อน ถูกนำมาจัดแสดงอย่างเป็นระบบเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม ยิ่งถ้าได้ไปดู “หลุมขุดค้นที่วัดโพธิ์ศรีใน” จะได้ประจักษ์แก่ สายตาว่าบ่อเกิดของอารยธรรมบ้านเชียงยิ่งใหญ่ ไม่เป็นสองรองใคร
แม้ชุมชนบ้านเชียงทุกวันนี้ คือชาวไทพวนที่อพยพเทครัวกันมาจากฝั่งลาว แต่พวกเขายังคงสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นอีสานไว้ได้อย่างเหนียวแน่น อาทิ “การทอผ้าฝ้ายย้อมคราม” ของขวัญแห่งภูมิปัญญาบรรพบุรุษ เพราะผ้าย้อมครามได้รับการวิจัยพบว่ามีคุณสมบัติช่วยป้องกันรังสียูวี เหมาะกับผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง เช่น ชาวไร่ ชาวนา ลวดลายที่ใช้ทอก็ถอดแบบมาจากธรรมชาติที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน เช่น ลายเต่า ลายดอกไม้ ส่วนงานฝีมือจำพวกของที่ระลึกอย่าง “การเขียนสีลายก้นหอยบนเครื่องปั้นดินเผา” คนที่นี่ยังใช้วัตถุดิบเป็นยางไม้ผสมดินลูกรังสีแดง เปรียบเสมือนการบอกเล่าตำนานเก่าแก่ผ่านผลงานศิลปะ เสน่ห์ชุมชนบ้านเชียงที่นักท่องเที่ยวควรตระหนัก ที่นี่ไม่มีเธคผับขับกล่อม มีเพียงงาน “บายศรีสู่ขวัญพร้อมกินพาแลง” ในมื้อเย็นเป็นการต้อนรับเท่านั้น และที่นี่ก็ไม่มีโรงแรมหรูหราหลายดาว มีแต่โฮมสเตย์ที่ให้นอน “จิบไวน์พื้นบ้าน” ชมดาวล้านดวงจากบนระเบียงได้อย่างสบายใจ หรือถ้าใครอยากสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ฉ่ำปอด แนะนำให้ไป “ขี่เกวียนออนซอนชมเมืองมรดกโลก” ก็จะได้บรรยากาศเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

:: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ::

รายละเอียดแหล่งท่องเที่ยว :
ตั้งอยู่ที่บ้านเชียงตำบลบ้านเชียง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ทางด้านขวาของทางเข้าอยู่ในบริเวณวัดโพธิ์ศรีในเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดที่เป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย เป็นนิทรรศการถาวรซึ่งแสดงขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยังคงลักษณะของศิลปวัตถุที่พบตามชั้นดินเพื่อให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาถึงการขุดค้นทางโบราณคดีและโบราณวัตถุซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาชนะเผาที่ฝังรวมกับศพ ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของทางเข้าเป็นอาคารที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวและวัฒนธรรมของบ้านเชียงในอดีตตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ที่แสดงถึงเทคโนโลยีในสมัยโบราณรวมทั้งโบราณวัตถุและนิทรรศการบ้านเชียงที่เคยจัดแสดง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกานอกจากนั้น ภายในบริเวณอาคารส่วนที่ 2 ยังมีห้องนิทรรศการ ห้องบรรยายฉายภาพยนตร์ ภาพนิ่ง และการให้บริการการศึกษาต่างๆ
ที่ตั้ง :
ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่13 ตำบล บ้านเชียง อำเภอหนองหานจังหวัดอุดรธานี
วันทำการ :
-
เวลาทำการ :
-
เว็บ :
-
เบอร์โทรศัพท์ :
-
จำนวนนักท่องเที่ยว :
-
ลักษณะเด่นพื้นที่ :
1. การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงนั้นสะดวกมาก เนื่องจากอยู่ห่างจากตัวจังหวัดเพียง 55 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 22(อุดรธานี-สกลนคร) ตรงกิโลเมตรที่ 50 ก็จะถึงปากทางเข้าบ้านปูลูจะเห็นป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์ทางด้านซ้ายมือ เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2225อีกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะถึงพิพิธภัณฑ์

2. เป็นนิทรรศการถาวรซึ่งแสดงขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยังคงลักษณะของศิลปวัตถุที่พบ

3. จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวและวัฒนธรรมของบ้านเชียงในอดีตตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ที่

4. -
กิจกรรม :
1. เยี่ยมชม

2. ถ่ายรูป

3. กิจกรรมครอบครัว
วันนี้ได้เที่ยวบ้านเชียงกันเต็มอิ่มแล้ว ผมจะได้พาท่านไปเที่ยวที่อื่นต่อ มาดูกันนะครับว่าผมจะพาท่านไปเที่ยวที่ไหนกัน

ดอกไม้ประจำจังหวัด


อุดรซันไฌน์
ก่อนจะไปเที่ยวกัน เรามาทำความรู้จักกับดอกไม้ประจำจังหวัดอุดรธานีกันก่อนนะครับ ดอกที่ว่านี้เป็นดอกกล้วยไม้ครับชื่อ "Udon Sunshine Orchid หรือพันธุ์นางสาวอุดรซันไฌน์ "
อุดรซันไฌน์เป็นกล้วยไม้พันธุ์แวนด้าใบร่อง(Vanda) ลูกผสมระหว่างสามปอยดง และ โจเซฟฟิน แวนเบอโร่(Josephine Van Berrow) ผสมได้ด้วยฝีมือของมนุษย์เมื่อปี ๒๕๒๐โดยเกษตรกรสมัครเล่นชื่อนายประดิษฐ์ คำเพิ่มพูล อายุ ๕๗ ปี แห่ง ต.บ้านเลื่อม อ.เมือง จ.อุดรธานี กล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์ เริ่มให้ดอกราวปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เมื่อดอกออกมาจะให้กลิ่นหอมรัญจวนแบบไทยๆนับว่าเป็นความแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในโลกนี้ ดอกของกล้วยไม้ชนิดนี้จะให้กลิ่นหอมตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนกระทั่งถึงบ่าย ๒โมง จนกว่าดอกจะเหี่ยวแห้งไป
นอกจากดอกจะให้ความหอมเป็นกรณีพิเศษแล้วอุดรซันไฌน์ยังสามารถเปลี่ยนสีได้ถึง ๓ สี คือเมื่ออากาศเย็นระหว่าง ๑๐-๑๕ C ดอกจะเป็นสีแดงสดใสเมื่ออุณหภูมิ ๑๕-๒๐ C ดอกจะเป็นสีทองและถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่านี้ดอกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดแต่กลิ่นยังคงที่เหมือนเดิมดอกมีความทนนานคาต้นโดยที่ไม่ต้องตัดอยู่ได้ราว ๖๐ วัน ถ้าตัดออกจากต้นจะอยู่ได้ ๑๕ วัน แต่ถ้าอากาศเย็นจัดจะสามารถอยู่ได้ถึง ๒๕ วันส่วนกลิ่นถ้าตัดแล้วจะให้ความหอมประมาณ ๑๐ วัน หลังจากนั้นกลิ่นจะค่อยจางหายไปเรื่อยๆ จนกว่าดอกจะแห้งในที่สุด ปัจจุบันกล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วที่สมาคมกล้วยไม้โลก ประเทศอังกฤษ
ข้อดีของอุดรซันไชน์
1. ดอกหอม บานทน สามารถทำเป็นไม้ตัดดอกได้ทุกต้น
2. อึดตายยาก รดน้ำ 2 วันครั้งดอกจะขยันออกดอกมาก ออกดอกแทบจะทุกร่องใบ
3. ดอกเปลี่ยนสีได้ตามสภาพอากาศ
4. เป็นไม้ที่เกิดจากการปั่นตาของต้นที่จดทะเบียน จึงมีเอกลักษณเฉพาะตัวและหาของแท้ยาก
5. เมื่อตัดดอกออกมาแล้ว ดอกยังมีระบบกลิ่นหอมเหมือนอยู่กับต้น สามารถอยู่ได้เป็นสัปดาห์
6. เป็นไม้ชุดที่นำดอกไปสกัดทำน้ำหอม ที่ขายในปัจจุบัน7. หายากเหมาะแก่การสะสม และพัฒนาพันธุ์ต่อไป
Udon sunshine มีกลิ่นหอมมากจนสามารถสกัดเป็นน้ำหอมได้ และสีดีทนนานสามารถตัดปักแจกันได้ (ราคาในตลาด 1 กำ มี 4-5 ช่อ 70 บาท จากตลาดขายดอกไม้ในจังหวัดอุดรธานีนะครับ ยังแพงขนาดนี้)
ข้อมูลทั่วไป
ผสมเกสร : ปี 2520
ออกดอกครั้งแรก : ปี 2530
ระบบกลิ่นหอม : เริ่ม 06.00น.-13.00น. ในฤดูร้อนและฤดูฝน
เริ่ม 09.30น.-15.30น. ในฤดูหนาว
* ดอกจะมีกลิ่นหอมในช่วงเวลาดังกล่าว ตามสภาพภูมิอากาศ
สีของดอกและฟอร์มดอก : จะมีสีแดงจัดในฤดูหนาว สีทองเคในฤดูร้อนและฤดูฝน
ปุ๋ยและแสง : ใช้ปุ๋ยสูตรตัวกลางสูงเสมอ และควรได้รับแสง 70%
ได้รู้จักกับกล้วยไม้งามแห่งเมืองอุดรไปอย่างคร่าว ๆ (อีกแล้ว) คราวนี้มาดูกันครับว่าเราจะไปชื่นชมความงาม และสัมผัสกลิ่นหอมของมันได้ที่ไหน ไปที่นี่เลยครับ "สวนกล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์" อ.เมือง จ.อุดรธานี ตั้งอยู่ที่ซอยกมลวัฒนา ถนนรอบอุดร-หนองสำโรง จากตัวเมืองใช้เส้นทางหมายเลข 2 (อุดรธานี-หนองคาย) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร เลยแยกถนนเลี่ยงเมืองไปเล็กน้อย ทางซ้ายมือจะมีทางแยกเข้าหนองสำโรงประมาณ 500 เมตร และเห็นป้ายบอกทางเข้าสวนกล้วยไม้ทางด้านซ้ายมือ ครับ
สวนกล้วยไม้อุดรซันไฌน์ ชาวจังหวัดอุดรธานี และนักท่องเที่ยวรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นของดีที่คนอุดรฯสร้างขึ้นจนมีชื่อเสียงขจรขจาย และถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญจังหวัดอุดรธานีครับ

เคยมา จ.อุดรธานีรึยัง





อุดรธานี เป็นจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคม และการท่องเที่ยวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะภาพของการเป็นดินแดนแห่งวัดป่า ประตูสู่ประเทศลาว ดินแดนอินโดจีน และยังเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และมีหัตถกรรมผ้าขิดที่มีชื่อเสียงอีกด้วย จังหวัดอุดรธานีมีเนื้อที่ประมาณ 11,730 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 18 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอหนองวัวซอ อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านผือ อำเภอบ้านดุง อำเภอกุมภวาปี อำเภอโนนสะอาด อำเภอเพ็ญ อำเภอน้ำโสม อำเภอกุดจับ อำเภอศรีธาตุ อำเภอวังสามหมอ อำเภอทุ่งฝน อำเภอสร้างคอม อำเภอไชยวาน อำเภอหนองแสง อำเภอนายูง อำเภอพิบูลย์รักษ์ กิ่งอำเภอกู่แก้ว และกิ่งอำเภอประจักษ์ศิลปาคม
คำขวัญประจำจังหวัด
"น้ำตกจากสันภูพาน อุทยานแห่งธรรมะ อารยธรรมห้าพันปี ธานีผ้าหมี่ขิต แดนเนรมิตหนองประจักษ์ เลิศลักษณ์กล้วยไม้หอมอุดรซันไชน์ "

อาณาเขต

ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดหนองคาย ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดขอนแก่น และกาฬสินธุ์ ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดสกลนคร ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดเลย และหนองบัวลำภู
ประวัติจังหวัดอุดรธานี
จากหลักฐานประวัติศาสตร์และโบราณคดี พบว่าบริเวณพื้นที่ที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน เคยเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ 5,000-7,000 ปี จากหลักฐานการค้นพบที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน และภาพเขียนสีผนังถ้ำที่อำเภอบ้านผือ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีระหว่างประเทศว่า ชุมชนเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่จังหวัดอุดรธานีมีอารยธรรมความเจริญในระดับสูงและอาจถ่ายทอดความเจริญนี้ไปสู่ประเทศจีนก็อาจเป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผาเขียนสีลายเส้นที่บ้านเชียงนั้น สันนิษฐานว่าอาจเป็นเครื่องปั้นดินเผาเขียนสีลายเส้นที่เก่าที่สุดของโลก
หลังจากยุคความเจริญที่บ้านเชียงแล้ว พื้นที่ที่จังหวัดอุดรธานีก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาจนกระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนับแต่สมัยทวารวดี (พ.ศ. 1200-1600) สมัยลพบุรี (พ.ศ.1200-1800) และสมัยสุโขทัย (พ.ศ.1800-2000) จากหลักฐานที่พบคือ ใบเสมาสมัยทวารวดี ลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ แต่ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ในขณะนั้นแต่อย่างใด
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พื้นที่จังหวัดอุดรธานีปรากฏในประวัติศาสตร์เมื่อราวปีจอ พ.ศ. 2117 พระเจ้ากรุงหงสาวดี (บุเรงนอง) ได้ทรงเกณฑ์ทัพไทยไปช่วยตีกรุงศรีสัตนาคณหุต (เวียงจันทน์) โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพไทยยกมาถึงเมืองหนองบัวลำภู (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเวียงจันทน์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประชวรด้วยไข้ทรพิษ จึงยกทัพกลับไม่ต้องรบพุ่งกับเวียงจันทน์ และที่เมืองหนองบัวลำภูนี่เองสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีนั้น จังหวัดอุดรธานีได้เกี่ยวข้องกับการศึกสงคราม กล่าวคือในระหว่าง พ.ศ. 2369-2371 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมา และเมื่อพ่ายแพ้ชาวนครราชสีมา ซึ่งมีผู้นำคือ คุณหญิงโม (ท้าวสุรนารี) กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้ถอยทัพมาตั้งรับที่เมืองหนองบัวลำภู และได้ต่อสู้กับกองทัพไทยและชาวเมืองหนองบัวลำภู จนทัพเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไป ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2411 ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในมณฑลลาวพวน เนื่องจากพวกฮ่อ (ชาวจีนที่คุมกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นพวกเดินทางมาทางบกเข้าสู่ประเทศไทยทางตอนเหนือและอีสาน เรียกว่าพวกจีนฮ่อ) ยกพวกเข้าปล้นสะดมพลเมือง ในเขตเมืองลาวพวนและหัวเมืองเหนือ ซึ่งกองทัพไทยได้ยกขึ้นไปปราบปรามจนสงบลงได้ชั่วคราว ในปี พ.ศ. 2428 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พวกฮ่อได้รวมตัวก่อการร้ายกำเริบขึ้นอีกในมณฑลลาวพวนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และมีท่าทีจะรุนแรงมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม (ต้นราชสกุลทองใหญ่) เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้และเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือไปทำการปราบปรามพวกฮ่อ ในเวลานั้นจังหวัดอุดรธานียังไม่ปรากฏชื่อเพียงปรากฏบ้านหมากแข้ง หรือบ้านเดื่อหมากแข้งสังกัดเมืองหนองคาย ขึ้นการปกครองกับมณฑลลาวพวนและกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ได้เดินทัพผ่านบ้านหมากแข้ง ไปทำการปราบปรามพวกฮ่อจนสงบ ภายหลังการปราบปรามพวกฮ่อสงบแล้วไทยได้มีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศสต้องการ ลาว เขมร ญวน เป็นอาณานิคมเรียกว่ากรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาประเทศไว้จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสและตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างไทย-ฝรั่งเศสมีเงื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมบริการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตรของฝั่งแม่น้ำโขง ดังนั้นหน่วยทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ที่เมืองหนองคายอันเป็นเมืองศูนย์กลางของหัวเมืองหรือมณฑลลาวพวน ซึ่งมีกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการจำต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อบ้านเดื่อหมากแข้ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร เมื่อทรงพิจารณาเห้นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสมเพราะมีแหล่งน้ำดี เช่น หนองนาเกลือ (หนองประจักษ์ศิลปาคมในปัจจุบัน) และหนองน้ำอีกหลากแห่งรวมทั้งห้วยหมากแข้ง ซึ่งเป็นลำห้วยใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมบัญชาให้ตั้งศูนย์มณฑลลาวพวน และตั้งกองทหารขึ้น ณ หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานีจึงได้ตั้งขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศยิ่งกว่าเหตุผลอื่นดังเช่นหัวเมืองสำคัญต่างๆ ในอดีต อย่างไรก็ตามคำว่า “อุดร” มาปรากฏขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2450 (พิธีตั้งเมืองอุดรธานี 1 เมษายน ร.ศ. 127 (พ.ศ.2450) โดยพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์)) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านเดื่อหมากแข้งอยู่ในการปกครองของมณฑลลาวพวน
หลักการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบการปกครองประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แล้วได้มีการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินยกเลิกการปกครองในระบบมณฑลในส่วนภูมิภาค ยังคงเหลือเฉพาะจังหวัดและอำเภอเท่านั้น มณฑลอุดรจึงถูกยุบเลิกไปเหลือเพียงจังหวัดอุดรธานีนับแต่นั้นมา

ความหมายของตราประจำจังหวัด

ตราประจำจังหวัดอุดรธานี เป็นรูปท้าวเวสสุวัณหรือท้าวกุเวร เป็นพญายักษ์ถือกระบองซึ่งเป็นท้าวโลกบาล ผู้คุ้มครองรักษาโลกประจำอยู่ทิศเหนือหรือทิศอุดร จังหวัดอุดรธานีจึงได้ใช้รูปท้าวเวสุวัณเป็นตราประจำจังหวัด โดยกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบเมื่อ พ.ศ. 2483
แนะนำให้ท่านได้รู้จักจังหวัดอุดรธานีกันแบบคร่าว ๆ (รึเปล่า) ต่อไปผมจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจุงหวัดอุดรธานีให้ได้ทราบกัน เผื่อว่าท่านมีโอกาสได้มาสัมผัสดินแดนที่ราบสูงนี้จะได้ทราบว่าควรไปที่ไหน อย่างไรบ้างครับ



จากกรุงสู่มรดกโลก



บ้านเชียง



ใครที่เห็นลายแจกันข้าง ๆ นี้เพียงแว๊บเดียว ก็น่าจะดูออกว่าเป็นลายแจกันของแหล่งอารยธรมบ้านเชียง ซึ่งเป็นมรดกโลกแห่งหนึ่งของไทยที่น่าภาคภูมิใจ


บ้านเชียง เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่ง ที่ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 5,000 ปี ร่องรอยของมนุษย์ในประเทศไทยสมัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านความรู้ความสามารถหรือภูมิปัญญา อันเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถดำรงชีวิตและสร้างสังคม-วัฒนธรรมของมนุษย์ได้สืบเนื่องต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน วัฒนธรรมบ้านเชียงได้ครอบคลุมถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกกว่าร้อยแห่ง ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่ที่มีมนุษย์อยู่อาศัยหนาแน่นมาตั้งแต่หลายพันปีแล้ว ด้วยเหตุนี้เององค์การยูเนสโกของสหประชาชาติจึงได้ยอมรับขึ้นบัญชีแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงไว้เป็นแห่งหนึ่งในบรรดามรดกโลก
ศิลปะเครื่องปั้นดินเผา ของบ้านเชียงนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค ได้แก่
1. ภาชนะดินเผาสมัยต้น อายุ 5,600-3,000 ปี มีลายเชือกทาบ ซึ่งคาดกันว่าเป็นปอกัญชา ทั้งยังมีลายขูดขีด และมีการเขียนสีบ่า โดยพบวางคู่กับโครงกระดูก บางใบใช้บรรจุศพเด็กด้วย
2. ภาชนะดินเผาสมัยกลาง อายุ 3,000 ปี-2,300 ปี สมัยนี้เป็นสมัยที่เริ่มมีการขีดทาสีแดงแล้ว
3. ภาชนะดินเผาสมัยปลาย อายุ 2,300 ปี-1,800 ปี เป็นยุคที่มีลวดลายที่สวยงามที่สุด ลวดลายพิสดาร สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่สงบสุข ก่อนที่จะกลายมาเป็นการเคลือบน้ำโคลนสีแดงขัดมัน

สำหรับประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประเภทแหล่งอนุสรณ์สถานจัดตั้งขึ้นในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 13 ตำบล บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันได้ยกฐานะเป็นเทศบาลตำบลแล้ว พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ บ้านเชียงได้จัดแสดงหลักฐานที่ ได้จากการสำรวจขุด ค้น ที่บ้านเชียง และแหล่งโบราณคดีใกล้เคียง อันประกอบด้วยกลุ่มภาชนะดินเผา เครื่องมือ เครื่องใช้และสิ่งอื่นๆอีกมากมาย
จุดเริ่มต้นของการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง มาจากการพบภาชนะลายเขียนสี เมื่อปี พ.ศ. 2503 โดยชาวบ้านเชียง ต่อมาปี พ.ศ. 2509 ชาวอเมริกัน ได้พบภาชนะดินเผาที่บ้านเชียงโดยบังเอิญจึงนำไปแจ้งที่กรมศิลปากร ปีพ.ศ. 2510 จึงได้มีการขุดค้นอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกปี พ.ศ.2515 ได้ขุดค้นเป็นครั้งที่ 2 ในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้เสด็จทอดพระเนตรแหล่งขุดค้นที่วัดโพธิ์ศรีในพร้อมกับแหล่งอื่นในบ้านเชียง และครั้งสุดท้ายปีพ.ศ. 2517-2518 กรมศิลปากรร่วมกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้ร่วมมือขุดค้นและหาข้อมูลใหม่เพิ่มเติม โดยเรียกโครงการนี้ว่า " โครงการ โบราณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ " พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งชาติ บ้านเชียง จึงได้เริ่มจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2518 เป็นต้นมา
พ.ศ. 2524 สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานี ร่วมกับกรมศิลปากร ได้ของบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มาสร้างอาคารหลังแรก แต่เนื่องจาก สภาพพื้นที่ยังเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมถึงในฤดูฝน นายมีชัย ฤชพันธุ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอเงินงบประมาณในโครงการเงิน กสช. มาปรับปรุงพื้นที่ให้สวยงาม และพรรคชาติไทยยังได้บริจาคต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับให้แก่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ บ้านเชียง ด้วยเช่นกัน
พ.ศ. 2525 ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ของบประมาณสร้างอาคารหลังที่ 2 จากมูลนิธิ จอร์น เอฟ เคเนดี แห่งประเทศไทย และกรมศิลปากรได้มีงบประมาณสนับสนุนด้านครุภัณฑ์ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 6,100,000 บาท เนื่องจากในวโรกาสสมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีพระชนมายุ 84 พรรษา กรมศิลปากร ได้กราบบังคมทูลพระบรมราชานุญาตใช้ชื่ออาคารหลังนี้ว่า "อาคารสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี" ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา ทรงเป็นผู้แทนพระองค์เสด็จทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ในวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2530
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ปัจจุบันมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 25 ไร่ คือ บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง หลุมขุดค้นทางโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีใน และบ้านไทพาน ด้วยเหตุผลที่คนบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ได้มีหลักฐาน ชีวิตความเป็นอยู่ ที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมของคนยุคนั้น ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้เป็นอย่างดี คณะกรรมการมรดกโลกได้ร่วมกันตกลงยอมรับให้ขึ้นบัญชี " แหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียง "ไว้เป็นแหล่งหนึ่งในบรรดามรดกโลก เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 359 ของโลก เมื่อปี พ.ศ. 2535


โบราณวัตถุที่สำคัญของบ้านเชียง ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นเครื่องปั้นดินเผาโดยมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ดังตัวอย่าง



เขียนมายาวเหยียดเพิ่งนึกได้ว่านี่ตูจะมาเขียนเรื่องราวประวัติศาสตร์บ้านเชียงรึไงฟะ บทความวิชาการโคตร ๆ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยผมชื่อ Jack ครับลืมตาดูโลกที่ รพ.จุฬา ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อ 41 ปีก่อน(มันเป็นแค่ตัวเลข ขอย้ำยังไม่แก่เฟ้ย) ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯที่แสนจะวุ่นวายมาตลอดชีวิต ทำกิจการเจ๊งมาก็หลายอย่าง(แต่ไม่เคยเข็ด) ตอนนี้เข้าวัยกลางคน(ไม่แก่) ลูก 2 แล้วทำมาหากินในกรุงเทพเห็นท่าจะไม่รอด เลยย้ายมาอยู่บ้านเมียที่นี่แหล่ะ มาเปิดร้านถ่ายรูปได้เดือนนึงแล้ว จากเคยอยู่ในกรุงเทพมีรายได้วันละ 2-3 พันบาท มาอยู่ที่นี่แค่เดือนเดียว หึ หึ ไม่อยากจะคุยซัดไป 3 พันบาท(ทั้งเดือนน่ะ ฮือ ๆ)
อยากจะบ้า ว่าจะทำขาหมูพะโล้ไปขายที่ตลาดแย้ว ที่นี่ทำมาหากินไม่คล่องเหมือนในกรุงเทพฯ แต่ก็อยู่อย่างสงบมีความสุขดี สังคมเมืองกับสังคมชนบทก็ต่างกันสุดขั้ว ผมมาอยู่ที่อำเภอหนองหาน อยู่ตรงปากทางเข้าบ้านเชียงพอดี ตอนนี้ทางเข้าทำถนนอย่างสวย ลอกมาจากถนนอุทยานในกรุงเทพฯ เป๊ะ
สำหรับสินค้าพื้นเมือง และของที่ระลึกในการมาเที่ยวจังหวัดอุดรธานี ได้แก่ ผ้าพื้นเมืองลายขิด ผ้าไหม เครื่องปั้นดินเผา กุนเชียง หมูหยอง หมูยอ แหนม และมะพร้าวแก้ว ผมชอบกินหมูยอ ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ blog นี้ ก็มาอยู่ในแหล่งหมูยอแล้วนี่ครับ